บทความประวิติศาสตร์คริสตจักรและพันธกิจศาสตร์

บทคัดย่อ
บทความนี้ทบทวนโดยสังเขปเกี่ยวกับที่มาและประวัติของการเชิญคนออกมารับเชื่อและคำอธิษฐานรับเชื่อพระคริสต์ บทความสะท้อนถึงความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้กับผู้ที่มีโลกทัศน์แบบนับถือผี และเสนอแนวทางทางเลือกในการช่วยให้ผู้คนมาถึงพระคริสต์ การไตร่ตรองนี้อิงจากประสบการณ์ของผู้เขียนในบริบทของชาวพุทธพื้นบ้านไทยที่นับถือศาสนาพุทธเถรวาทร่วมกับความเชื่อผีพื้นเมืองต่าง ๆ เนื่องจากวัฒนธรรมแบบนับถือผีทั่วโลกมีโลกทัศน์และการปฏิบัติที่คล้ายคลึงกัน ข้อสรุปของบทความนี้จึงน่าจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวางในบริบททางวัฒนธรรมที่หลากหลาย ซึ่งเป็นที่ที่คริสเตียนสายประกาศกำลังพยายามแบ่งปันพระกิตติคุณกับผู้ที่ได้รับอิทธิพลจากความเชื่อนับถือผี

บทนำ
หลายปีมาแล้ว ผมและภรรยาได้รับมอบหมายให้ทำพันธกิจร่วมกับคริสตจักรเล็กๆ แห่งหนึ่งในภาคกลางเพื่อปลูกคริสตจักรอีกแห่งหนึ่งในอีกอำเภอใกล้ๆ กัน ในวันอาทิตย์วันแรกของเราที่โบสถ์เล็กๆ แห่งนั้น สมาชิกคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในอำเภอใกล้เคียงดังกล่าวรวบรวมคน 15 คนจากอำเภอนั้นและพาพวกเขานั่งบนท้ายรถกระบะมาที่โบสถ์ สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นในสองวันอาทิตย์นั้น ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นชาวไทยพุทธโดยไม่มีความรู้เรื่องพระกิตติคุณมาก่อน แต่พวกเขาเกือบทั้งหมดอธิษฐานรับเชื่อพระเยซูหลังจากศิษยาภิบาลพบปะกับพวกเขาหลังการนมัสการและอธิบายข่าวประเสริฐแก่พวกเขา ฮาเลลูยาห์! ความพยายามปลูกคริสตจักรใหม่ของเราเริ่มต้นด้วยดีเลยทีเดียว! ผมกับศิษยาภิบาลคริสตจักรนั้นเริ่มทำกลุ่มย่อยสำหรับผู้เชื่อใหม่กลุ่มนี้ที่บ้านของสมาชิกโบสถ์รายหนึ่งที่อยู่ในอำเภอนั้น โดยหวังว่าการประชุมที่น่าตื่นเต้นของผู้เชื่อใหม่เหล่านี้จะเป็นเมล็ดพันธุ์ของคริสตจักรใหม่ในหมู่บ้านแห่งนั้น แต่ดันมีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น ในระยะเวลาสองเดือนหลังจากนั้นจำนวนของ “ผู้เชื่อใหม่” เหล่านี้ที่มาร่วมกลุ่มย่อยของเราในอำเภอนั้นลดลงจนเหลือศูนย์แต่เดิมทีในทุกวันอาทิตย์สมาชิกโบสถ์ผู้สัตย์ซื่อของเราท่านนั้นที่นำพวกเขามานมัสการในตัวเมืองแต่แรกจะขับรถไปทั่วเพื่อรับพวกเขาเหล่านี้ไปโบสถ์ แต่เขามักจะพบกับข้ออ้างมากกว่าเหล่าผู้โดยสารเสมอ มันมีอะไรผิดพลาดตรงไหนกัน? ผู้คนเหล่านี้ตัดสินใจติดตามพระคริสต์แล้วไม่ใช่หรือ? พวกเขาได้อธิษฐานรับเชื่อพระคริสต์เป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดและบังเกิดใหม่ไปแล้วมิไช่หรือ? การรวบรวมครั้งใหญ่อันยอดเยี่ยมที่ดูแสนจะเหลือเชื่อกลับกลายเป็นแบบนั้นไปเสียดื้อๆ
ประสบการณ์อันน่าผิดหวังนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญต่างๆ มากมายในใจผม ทำไมผู้คนเหล่านี้จึงหลงหาย? ก่อนอื่นพวกเขาได้รับการบังเกิดใหม่จริงๆ หรือเปล่า? พวกเขาถูกนำเข้าสู่ความเชื่อคริสเตียนก่อนเวลาอันควรหรือเปล่า? เหตุผลต่างๆ ที่นำพวกเขาเดินทางมาถึงหน้าประตูโบสถ์และออกทางประตูหลังอย่างรวดเร็วเป็นเรื่องลึกลับที่พระเจ้าเท่านั้นทรงล่วงรู้หรือเปล่า? หรือว่าก่อนหน้านี้พวกเราควรจะทำอะไรต่างไปจากนี้? พวกเขาอธิษฐานรับเชื่อพระคริสต์เพราะอะไรกันแน่? มีปัจจัยเชิงวัฒนธรรมเกี่ยวข้องหรือไม่? ผู้คนที่ไม่มีภูมิหลังคริสเตียนเลยแม้แต่น้อยสามารถเข้าใจข่าวประเสริฐอย่างเพียงพอหรือไม่ในเวลาเพียงไม่กี่วันอาทิตย์เพื่อที่จะรู้จักและยอมรับพระคริสต์อย่างแท้จริง? การมีภูมิหลังทางพุทธศาสนาและความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณของพวกเขามีผลต่อการตัดสินใจของพวกเขาหรือไม่? พวกเขาเพียงตกลงอธิษฐานตามศิษยาภิบาลเพื่อปกป้องไม่ให้เขาเสียหน้าหรือเปล่า? บางทีอาจมีบางอย่างผิดพลาดเกี่ยวกับวิธีนำพวกเขาเข้าหาพระคริสต์หรือไม่? วิธีปฏิบัติในการนำให้ผู้คนอธิษฐานรับเชื่อ (sinner’s prayer) เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการพาพวกเขาเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าจริงหรือ? คำถามเหล่านี้และอื่นๆ ทำให้ผมต้องทำภารกิจในการแสวงหาสาเหตุที่ผู้คนซึ่งดูเหมือนอธิษฐานเพื่อต้อนรับพระคริสต์มักจะหลงหายอย่างรวดเร็ว อะไรที่เราสามารถทำแตกต่างไปจากนี้เพื่อที่จะป้องกันความหวังที่ทะยานขึ้นและดำดิ่งลงอย่างรวดเร็ว?
เมื่อผมคุ้นเคยกับความเชื่อคริสเตียนในประเทศไทยและอ่านหนังสือมากขึ้น มันทำให้ผมถึงบางอ้อว่าสิ่งที่ผมสังเกตเห็นที่คริสตจักรในเมืองเล็กๆ แห่งนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ความเชื่อคริสเตียนแบบ “มาง่าย-ไปง่าย” ที่เชื่อมโยงกับการอธิษฐานรับเชื่อเป็นโรคระบาดท่ามกลางนิกายอีแวนเจลิคัลโปรเตสแตนต์ (evangelical Protestantism) มากพอสมควร ทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความนิยมของการเชื้อเชิญผู้คนให้อธิษฐานรับเชื่อเพื่อกลายเป็นคริสเตียน รวมถึงวิธีปฏิบัติคล้ายๆ กันในการเชิญชวนผู้คนให้ประกาศความเชื่อหลังจากการเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุม (altar call) วิธีการแบบอีแวนเจลิคัลเหล่านี้มีรากเหง้าประวัติศาสตร์ที่สั้นอย่างน่าตกใจ การเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมได้ถูกใช้นับตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 มานี่เอง และการอธิษฐานรับเชื่อถูกใช้นับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 ทั้งสองวิธีการนี้ถูกพัฒนาขึ้นในสหรัฐฯ ซึ่งมีบริบททางศาสนาและวัฒนธรรมแตกต่างอย่างลิบลับจากวัฒนธรรมแบบวิญญาณนิยมในหลายพื้นที่ของโลกในปัจจุบัน ในฐานะมิชชันนารีอีแวนเจลิคัลที่ให้ความสำคัญกับความเชื่อแบบอีแวนเจลิคัล/การประกาศข่าวประเสริฐที่สัตย์ซื่อต่อพระคัมภีร์และสอดคล้องกับวัฒนธรรมมันทำให้ผมเกิดข้อสงสัยอันลึกซึ้งหลายข้อเกี่ยวกับความถูกต้องและประสิทธิผลของทั้งการเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมและการอธิษฐานรับเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันถูกใช้ท่ามกลางชนชาติที่เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ ดังเช่น ชาวไทยพุทธแบบพื้นบ้าน (folk Buddhists)
ในบทความนี้ ผมจะสำรวจคร่าวๆ เกี่ยวกับต้นกำเนิดและประวัติศาสตร์ของการเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมและการอธิษฐานรับเชื่อ, นำเสนอความเข้าใจผิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้เมื่อสองอย่างนี้ถูกใช้ท่ามกลางผู้คนที่มีโลกทัศน์แบบวิญญาณนิยม, และเสนอแนะแนวทางใหม่ในการช่วยให้ผู้คนมารู้จักพระคริสต์ ประสบการณ์ส่วนตัวของผมส่วนใหญ่อยู่ในบริบทของชาวไทยพุทธแบบพื้นบ้านซึ่งถือปฏิบัติศาสนาพุทธนิกายเถรวาทผสมกับความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมแบบวิญญาณนิยมทั่วโลกมีโลกทัศน์และวิถีปฏิบัติต่างๆ ที่คล้ายกันอยู่ เช่นเดียวกับนิกายโปรเตสแตนต์แบบอีแวนเจลิคัลในระดับสากล[1] เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้อสรุปต่างๆ ของบทความนี้ควรจะประยุกต์ใช้ได้กับบริบททางวัฒนธรรมที่หลากหลายในพื้นที่ต่างๆ ของโลกซึ่งบรรดาคริสเตียนอีแวนเจลิคัลกำลังพยายามที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐกับผู้คนที่ถูกครอบงำโดยความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ/ลัทธิวิญญาณนิยม (animism)
จุดกำเนิดของ “การอธิษฐานรับเชื่อ”
แม้ว่าบ่อยครั้งการเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมและการอธิษฐานรับเชื่อถูกเชื่อว่าเป็นรูปแบบดั้งเดิมของความเชื่อแบบอีแวนเจลิคัล/การประกาศข่าวประเสริฐ (evangelism) แต่วิธีการทั้งสองนี้เพิ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 200 ปีที่ผ่านมาหรือมากกว่านั้น[2] แม้บางคนเชื่อมโยงกิจปฏิบัติสมัยใหม่ทั้งสองนี้กับข้อพระคัมภีร์อย่างกิจการ 2:37-38 และโรม 10:9-10 แต่ในยุคก่อนศตวรรษที่ 19 กลับมีหลักฐานน้อยมากเกี่ยวกับนักประกาศที่เรียกผู้คนให้ออกมาเบื้องหน้าที่ประชุมเพื่อประกาศความเชื่อต่อสาธารณชนหรือก้มหัวและกล่าวอธิษฐานตามแล้วกลายเป็นผู้เชื่อ ในขณะที่ทั้งสองวิธีการนี้บ่อยครั้งถูกเชื่อมโยงกับความเชื่อแบบอีแวนเจลิคัล/การประกาศข่าวประเสริฐสายฟื้นฟู (revival evangelism) แต่บรรดานักเทศนาผู้ยิ่งใหญ่ในการตื่นรู้ครั้งใหญ่ (Great Awakening) ยุคศตวรรษที่ 18 ในสหรัฐฯ และอังกฤษก็ไม่ได้ใช้มัน โจนาธาน เอ็ดเวิร์ดส์ (Jonathan Edwards), จอร์จ ไวท์ฟีลด์ (George Whitefield),และจอห์น เวสลีย์ (John Wesley) เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะนักประกาศที่ประสบความสำเร็จโดยได้เห็นคนจำนวนมากมารับเชื่อพระคริสต์แต่พวกเขาก็แทบจะไม่รู้จักกิจปฏิบัติเหล่านี้ บุรุษเหล่านี้เทศนาเกี่ยวกับธรรมบัญญัติและพระกิตติคุณ กระตุ้นให้ผู้คนกลับใจใหม่และหันมาหาพระคริสต์ และให้คำปรึกษาแก่ผู้สนใจเป็นการส่วนตัว แต่พวกเขาฝากผลลัพธ์สุดท้ายไว้กับพระเจ้า พวกเขาหนุนใจผู้คนให้ใคร่ครวญและอธิษฐานส่วนตัวมากกว่าการประกาศความเชื่อต่อสาธารณชนโดยทันทีและความมั่นใจในความรอด[3] ตัวอย่างเช่น จอห์น เวสลีย์ นักประกาศและผู้ก่อตั้งคณะเมธอดิสต์ (Methodist) ที่ครั้งหนึ่งเขาได้พบสตรีท่านหนึ่งที่ได้ระเบิดอารมณ์สองครั้งในที่ประชุมประกาศข่าวประเสริฐของเขาและยอมรับว่าทำบาป หลังจากได้ใช้เวลากับเธอช่วงหนึ่ง “เขาดูไม่กังวลที่จะเดินทางต่อไปยังจุดแวะจอดถัดไปของเขา โดยให้เหตุผลอย่างชัดเจนว่าหากพระเจ้าทรงกำลังทำงานในชีวิตของเธอจริงๆ พระองค์จะทำให้พระราชกิจบรรลุผลโดยปราศจากการช่วยเหลือเพิ่มเติมของเวสลีย์”[4] ในทำนองเดียวกัน อาสาเฮล เนตเทิลตัน (Asahel Nettleton) นักประกาศที่ได้พบเห็นการฟื้นฟูหลายครั้งในช่วงแรกของพันธกิจเดินทางประกาศผ่านสหรัฐฯ ฝั่งตะวันออกในช่วงทศวรรษ 1820 เขากระตุ้นให้เหล่าผู้ฟังกลับใจใหม่โดยทันทีแต่หลังจากนั้นปิดประชุมโดยที่ไม่ได้ให้ความมั่นใจในความรอดแก่พวกเขา เนตเทิลตันบอกให้พวกเขากลับบ้านไปอย่างเงียบๆ อยู่นิ่งๆ และแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาควรเชื่อวางใจในพระคริสต์และแสวงหาหลักฐานแห่งการบังเกิดใหม่ในชีวิตตนเอง เนตเทิลตันมักจะพบปะกับพวกผู้สนใจ ณ ที่ประชุมที่บ้านในวันต่อมา โดยหนุนใจให้พวกเขาหันไปหาพระคริสต์เพื่อความรอดและไม่ให้กังวลว่าจะตอบสนองต่อนักเทศนาอย่างไร ถึงจุดนี้เนตเทิลตันระมัดระวังที่จะไม่พูดเยอะเกินไป ด้วยเกรงว่าจะนำผู้คนไปสู่ความหวังจอมปลอม[5] บางคนอาจสงสัยว่าแนวทางดังกล่าวจะมีประสิทธิผลจริงๆ หรือ หากนักประกาศไม่เชื้อเชิญผู้คนให้อธิษฐานเพื่อต้อนรับพระคริสต์ หรือไม่ให้ความมั่นใจในความรอดแก่พวกเขาโดยมีการอธิษฐานนั้นเป็นรากฐาน พวกเขาจะได้รับความรอดได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม ในพันธกิจของเนตเทิลตัน มีการรายงานว่าเกิดการกลับใจเชื่อและชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงมากมายในคริสตจักรที่เขาเป็นผู้นำการประชุมฟื้นฟู และแม้กระทั่งผ่านไปหลายปีแล้ว ในบรรดาผู้ที่กลับใจเชื่อผ่านพันธกิจของเขา มีเพียงไม่กี่คนที่ได้ละทิ้งความเชื่อ[6]
การเรียกให้ออกไปรับเชื่อครั้งแรกๆ ในที่ประชุมฟื้นฟูเกิดขึ้นเมื่อปี 1801 ในช่วงที่มีการฟื้นฟูในเคนริดจ์ (Cane Ridge Revival) ในรัฐเคนทักกี (Kentucky) ชายแดนด้านตะวันตกของอเมริกาในสมัยนั้น[7] อย่างไรก็ตาม การทำให้การเรียกออกไปดังกล่าวเป็นที่นิยมเกิดขึ้นผ่านงานเขียนของชาร์ลส์ ฟินนีย์ (Charles Finney)[8] โดยที่กลับใจเชื่อเมื่อปี 1821 และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รับใช้เมื่อปี 1824 ฟินนีย์นำการฟื้นฟูหลายครั้งในรัฐนิวยอร์ก (New York) ด้านตะวันตกในทศวรรษ 1820 และช่วงต้นทศวรรษ 1830 ในขณะที่อิทธิพลของการฟื้นฟูครั้งต่างๆ โดยฟินนีย์ทำให้เขามีชื่อ เสียง วิธีการของเขาในการ รณรงค์การฟื้นฟูเหล่านี้ทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากคนบางกลุ่ม เช่นเดียวกับอาสาเฮล เนตเทิลตัน คนร่วมสมัยที่อาวุโสกว่า ฟินนีย์เชื่อในการเรียกให้กลับใจใหม่ในที่ประชุมประกาศข่าวประเสริฐ อย่างไรก็ตาม โดยต่างจากเนตเทิลตัน ฟินนีย์กดดันผู้ฟังของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ในการบ่งชี้การกลับใจใหม่ผ่านสัญลักษณ์ทางกายภาพภายนอก ที่สำแดงออกในที่ประชุม เนตเทิลตันเน้นเรื่องการกลับใจโดยทันทีแต่เขาก็กังวลเกี่ยวกับการเน้นที่อารมณ์ (emotionalism) และการหลอกตัวเอง ดังนั้น เขาจึงให้บรรดาผู้ฟังของเขากลับบ้านก่อนเพื่อรอให้พระวิญญาณเปลี่ยนแปลงหัวใจของพวกเขา[9] แต่ฟินนีย์ไม่มีข้อสงวนเช่นนั้น การรุกคืบของฟินนีย์ในการเรียกร้องการตอบสนองในที่ประชุมเกิดขึ้นครั้งแรกในหมู่บ้าน Evan’s Mill รัฐนิวยอร์กเมื่อปี 1824 เขาขอให้ผู้คนยืนขึ้นเพื่อสำแดงการยอมรับพระคริสต์ โดยถือว่าการยังคงนั่งอยู่เป็นการบ่งบอกการปฏิเสธพระคริสต์ ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ ไว้สำหรับบรรดาผู้ที่เป็นคริสเตียนอยู่แล้ว ในการใช้วิธีการนี้ฟินนีย์แสดงให้เห็นว่าเขาถือว่าการพฤติกรรมภายนอกเป็นสัญลักษณ์ของการกลับใจเชื่อในฝ่ายวิญญาณ แม้ว่าการเรียกให้มีการตอบสนองเชิงกายภาพกลายเป็นลักษณะเด่นของการรับใช้ของเขา แต่ฟินนีย์ไม่ได้ใช้สิ่งที่อ้างว่าเป็น “วิธีการใหม่” (new measures) จนกระทั่งปี 1830[10] ฟินนีย์เชื่อมั่นว่าเราไม่จำเป็นต้องรอพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เปลี่ยนแปลงหัวใจเรา แต่ที่จริงแล้วความรอดเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเจตจำนงของคนคนหนึ่ง ดังนั้น เขาจึงคาดหวังผลลัพธ์ ฟินนีย์เชื่อมั่นว่าการฟื้นฟูเกิดขึ้นแน่นอนหากใช้วิธีการต่างๆ ที่ถูกต้อง โดยเขาได้เขียนไว้ว่า “การฟื้นฟูไม่ใช่การอัศจรรย์ และไม่ได้พึ่งพาการอัศจรรย์ไม่ว่าในแง่ใด แต่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นผลลัพธ์เชิงปรัชญาจากการใช้วิธีการต่างๆ ที่มีอยู่อย่างถูกต้อง”[11] ฟินนีย์เชื่อว่าวิถีปฏิบัติที่เชื้อเชิญผู้คนให้สำแดงบางพฤติกรรมที่บ่งชี้การกลับใจใหม่เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในยุคนั้นเพื่อโน้มน้าวใจให้ผู้คนหันเข้าหาพระคริสต์ และทำให้บรรลุซึ่งวัตถุประสงค์เดียวกันกับวัตถุประสงค์ของการบัพติศมาในคริสตจักรยุคแรก[12] ในความคิดของหลายคน “วิธีการใหม่” ของฟินนีย์ตามที่เรียกกันได้รับการพิสูจน์โดยผลลัพธ์ของมัน มีการรายงานถึงการกลับใจเชื่อมากมายบนหน้าหนังสือพิมพ์และดูเป็นเรื่องยากที่จะโต้แย้งกับผลลัพธ์ต่างๆ สำหรับบรรดาผู้ที่ตั้งคำถามกับวิธีการประกาศข่าวประเสริฐของเขา ฟินนีย์ประนามพวกเขาว่า “เย็นชาและตายด้าน และเป็นศัตรูกับการฟื้นฟู”[13] พวกนักวิจารณ์กังวลว่า การเน้นที่อารมณ์อย่างมากของวิธีการของฟินนีย์ได้นำไปสู่การกลับใจเชื่อที่จอมปลอม จอห์น เนวิน (John Nevin) ผู้รับใช้นิกายเยอรมันรีฟอร์มและร่วมสมัยกับฟินนีย์ กล่าวว่าเทคนิคต่างๆ ของฟินนีย์เป็นการใช้เล่ห์เหลี่ยมบงการเชิงจิตวิทยาและสร้างความสับสนระหว่าง “รูปแบบภายนอกกับแก่นแท้”[14] เนวินให้เหตุผลว่า ในขณะที่นักเทศนาอธิบายข่าวประเสริฐและประทับมันลงไปบนจิตวิญญาณของเหล่าผู้ฟัง คำถามเบื้องหน้าพวกเขาก็คือ “ฉันจะยอมจำนนต่อพระเจ้าดีไหม?” นี่เป็นปัญหาใหญ่หลวงที่พวกเขาจะต้องขบคิดใคร่ครวญในจิตใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อนักเทศนาเชื้อเชิญผู้ฟังให้เดินออกมาข้างหน้า คำถามว่า “ฉันจะเดินออกไปข้างหน้าดีไหม?” กลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในห้วงความคิดของพวกเขา โดยทำให้การใคร่ครวญคำถามสำคัญกว่าเรื่องการจำนนต่อพระเจ้าต้องหยุดชะงักไป[15] ข้อกังวลต่างๆ ของนักวิจารณ์เหล่านี้ไม่ได้ไร้เหตุผล ดังที่ เจมส์ บอยล์ (James Boyle) สหายของฟินนีย์ ให้การเอาไว้ในจดหมายปี 1834 ที่ส่งถึงฟินนีย์ เมื่อบอยล์ได้กลับไปเยี่ยมสถานที่ต่างๆ ที่บุรุษทั้งสองเคยไปเทศนาก่อนหน้านี้ เขาพบว่าส่วนใหญ่ของผู้ที่กลับใจเชื่อในที่ประชุมฟื้นฟูของฟินนีย์และบอยล์นั้นได้หลงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยบอยล์ได้เขียนว่า:
ขอให้พวกเรามองออกไปยังท้องทุ่งที่คุณและคนอื่นๆ รวมถึงตัวผมเองได้ลงแรงในฐานะผู้รับใช้ฟื้นฟู และตอนนี้สภาพทางศีลธรรมของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง? สภาพทางศีลธรรมของพวกเขาเป็นอย่างไรภายในสามเดือนหลังจากพวกเราแยกจากพวกเขา? ท้องทุ่งเหล่านี้มากมายผมได้ไปเยี่ยมและเยือนซ้ำและต้องคร่ำครวญร้อนใจเมื่อพบคริสตจักรต่างๆ ตกอยู่ในสภาพอันเศร้าโศก เย็นชา ฝักใฝ่เนื้อหนัง และทะเลาะเบาะแว้ง—โดยกลับกลายเป็นเช่นนั้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราแยกจากพวกเขาในครั้งแรก[16]
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อวิจารณ์จากภายนอกและข้อสังเกตที่น่าไตร่ตรองของเพื่อนร่วมงานของเขา ฟินนีย์ยืนกรานในวิธีการเดิมต่อไป หนังสือเล่มหนึ่งของฟินนีย์ที่ชื่อว่า Lectures on Revivals (1835) ได้กลายเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางและนำไปสู่การใช้ระบบเรียกเชิญออกไปหน้าที่ประชุมคริสตจักรในหลากหลายนิกายของสหรัฐฯ ในช่วงศตวรรษที่ 19[17]
ตั้งแต่ทศวรรษ 1870 เป็นต้นมา นักประกาศข่าวประเสริฐที่ชื่อ ดไวท์ แอล. มูดี้ (Dwight L. Moody) ก็ใช้ระบบเรียกเชิญนี้เป็นประจำเช่นกัน แม้ว่าแนวทางของมูดี้จะใจดีและนุ่มนวลกว่าแนวทางของฟินนีย์ซึ่งทำให้หลายคนตกตะลึงด้วยกลยุทธ์ที่กดดันสูง โดยร่วมมือกับนักดนตรีที่ชื่อ ไอรา แซนคีย์ (Ira Sankey) มูดี้ทำการเรียกเชิญผู้คนให้เข้าหาพระคริสต์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยเห็นได้จากการเคลื่อนตัวมายังเบื้องหน้าของหอประชุม มูดี้และนักประกาศฯ คนอื่นๆ เริ่มใช้ “บัตรตัดสินใจรับเชื่อ” (decision cards) ในการบ่งชี้การกลับใจเชื่อ ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติที่ถูกสืบทอดโดยนักประกาศฯ ยุคศตวรรษที่ 20 ที่ชื่อ บิลลี ซันเดย์ (Billy Sunday) การฟื้นฟูแบบรณรงค์เคลื่อนไหวของซันเดย์เป็นจุดเริ่มต้นของการนำความบันเทิงและความตื่นเต้นเข้ามาสู่ความเชื่อแบบอีแวนเจลิคัล/การประกาศข่าวประเสริฐ รวมถึงความสำคัญของ “การสรรหาผู้จัดงานและนักประชาสัมพันธ์มืออาชีพเพื่อจัดเตรียมสถานที่และบรรยากาศของที่ประชุมของเขา” อันเป็นจุดเน้นที่มีอิทธิพลต่อพันธกิจของบิลลี เกรแฮม (Billy Graham)[18]
ในยุคหลังสงครามครั้งที่สอง การอธิษฐานรับเชื่อเป็นที่โด่งดังผ่านพันธกิจของบิลลี แกรแฮม และบิล ไบรท์ (Bill Bright) ผู้ก่อตั้งพันธกิจนักศึกษาที่ชื่อ แคมปัสครูเสดฟอร์ไครสต์ (Campus Crusade for Christ) บุรุษทั้งสองไม่เพียงแต่นำผู้คนให้อธิษฐานรับเชื่อพระคริสต์ทางวาจา แต่ยังส่งเสริมให้ใช้คำอธิษฐานนั้นผ่านจุลสารอันโด่งดังของพวกเขาที่ชื่อว่า Steps to Peace with God ของเกรแฮม และ The Four Spiritual Laws ของไบรท์ ในขณะที่ความเชื่อแบบอีแวนเจลิคัล/การประกาศข่าวประเสริฐสากลแพร่กระจายไปทั่วโลก แนวทางแบบอีแวนเจลิคัลทั้งหลายที่เน้นหนักเรื่องการเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมและการอธิษฐานรับเชื่อเพื่อประเมินบ่งชี้การกลับใจใหม่
ก่อนที่เราจะพิจารณาผลลัพธ์ต่างๆ ของวิธีการแบบอีแวนเจลิคัลเหล่านี้ ผมอยากจะให้คำนิยามแบบกระชับของคำว่า “การเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุม” (altar call) และ “การอธิษฐานรับเชื่อ” เพื่อความชัดเจนว่าเรากำลังคุยเรื่องอะไรกัน ในบางคริสตจักรยุคปัจจุบันการเรียกให้ออกไปรับเชื่อฯ เกิดขึ้นโดยมีหลายสาเหตุ ประกอบด้วย การอุทิศ/ถวายตนใหม่ (rededication) ต่อพระคริสต์หรือใบสัญญาถวาย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรากำลังอภิปรายกันในบทความนี้คือการเรียกเชิญผู้เชื่อใหม่ในพระคริสต์ให้แสดงออกเชิงกายภาพในบริบทของที่ประชุมรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง การอธิษฐานรับเชื่อไม่ใช่การอธิษฐานครั้งหนึ่งด้วยชุดถ้อยคำที่กำหนดไว้ ซึ่งปัจจุบันมีการใช้ชุดถ้อยคำหลายรูปแบบ ถึงกระนั้น ดังที่เดวิด เบนเนตต์ (David Bennett) ได้ตั้งข้อสังเกตในหนังสือของเขาต่อประเด็นนี้ การอธิษฐานรับเชื่อมีองค์ประกอบสำคัญสามประการ
ประการแรก มันจะต้องเป็นการอธิษฐานจริงที่กล่าวต่อพระเจ้าหรือพระเยซูคริสต์ ประการที่สอง มันจะต้องมีสมมติฐานที่กล่าวไว้อย่างชัดเจนในคำอธิษฐานหรือเอกสารประกอบว่า หากมีความจงใจหรือคำอธิษฐานที่จริงใจคำอธิษฐานจะเกิดผลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และโดยทันที ประการที่สาม มันจะต้องเกี่ยวกับคนบาปที่เชื้อเชิญ ยอมรับ หรือต้อนรับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตหรือหัวใจของคนบาปผู้นั้นในฐานะการกระทำตามเจตจำนงของมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การริเริ่มในการกลับใจเชื่อของคริสเตียนดูจะเริ่มจากผู้ที่อธิษฐาน, ไม่ใช่จากพระเจ้า, จึงทำให้ดูเหมือนว่ามันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์มากกว่าพระราชกิจของพระเจ้า คำอธิษฐานดังกล่าวยังจะต้องมีทั้งสององค์ประกอบนี้หรือหนึ่งในสอง ได้แก่ การกล่าวถึงการอภัยของพระเจ้า และการสำแดงการกลับใจใหม่[19]
การอธิษฐานรับเชื่อมัน “ได้ผล” จริงเหรอ?
เมื่อผู้คนกล่าว “คำอธิษฐานรับเชื่อ” นั้น “การตัดสินใจรับพระคริสต์” เป็นมาตรวัดความสำเร็จในการประกาศข่าวประเสริฐที่เที่ยงตรงหรือไม่? การกล่าวคำอธิษฐานดังกล่าว, การชูมือ, หรือการกรอกบัตรตัดสินใจรับเชื่อ แปลว่าบุคคลนั้นบังเกิดใหม่แล้วจริงหรือ? คำพยานส่วนตัวของเจมส์ บอยล์ เพื่อนร่วมงานของฟินนีย์ไม่ได้บ่งชี้เช่นนั้น ในทำนองเดียวกัน ในหนังสือ The Altar Call – Its Origins and Present Usage, เดวิด เบนเนตต์ ได้วิเคราะห์จำนวนที่มีการกล่าวอ้างของผู้ที่กลับใจเชื่อจากพันธกิจของบิลลี ซันเดย์ และบิล ไบรท์ และพบว่าตัวเลขสถิติเป็นการกล่าวเกินจริง[20] แม้ว่าบุรุษทั้งสองกล่าวอ้างจำนวนของผู้กลับใจเชื่อที่มากมาย แต่จำนวนมากของคนเหล่านี้ไม่เคยเป็นสาวกของพระคริสต์ ในห้วงเวลาที่ใกล้ขึ้นมาหน่อย เมื่อปี 2009 สมาคม Billy Graham Evangelistic Association ร่วมกับนิกายคริสตจักรสำคัญของไทยจำนวนหนึ่ง ให้การสนับสนุนและประชาสัมพันธ์โครงการประกาศข่าวประเสริฐที่ชื่อว่า “ยังมีหวัง” (My Hope Thailand) พวกเขาผลิตรายการทีวีประกาศข่าวประเสริฐที่แพร่ภาพหลายครั้งบนช่องโทรทัศน์ของไทยไม่นานก่อนวันคริสตมาส รายการดังกล่าวนำเสนอคำพยานและมิวสิกวิดีโอต่างๆ จากดารานักร้องชื่อดังชาวไทยที่เปลี่ยนมารับเชื่อเป็นคริสเตียน รวมถึงการเทศนาโดยบิลลี เกรแฮม และแฟรงคลิน เกรแฮม โดยมีการพากย์เสียงภาษาไทย ผลจากรายการทีวีและงานอีเวนต์คริสตจักรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการรายงานว่ามีคนเกือบ 12,000 คน “ตัดสินใจต้อนรับพระคริสต์” หลายคนในชุมชนคริสเตียน (ทั้งในไทยและต่างประเทศ) ยินดีเหลือล้นกับจำนวน “คริสเตียนใหม่” ที่เกิดขึ้นจากโครงการยังมีหวัง หนึ่งปีถัดจากนั้น นักวิจัยที่ชื่อว่า ดไวท์ มาร์ติน (Dwight Martin) และ มาร์เทน วิสเซอร์ (Marten Visser) ได้ติดตามผลลัพธ์ที่กล่าวอ้างโดยโครงการ “ยังมีหวัง” เพื่อตรวจสอบ “ว่าผลลัพธ์สุดท้ายเป็นที่น่าประทับใจดังที่ผลลัพธ์ครั้งแรกบ่งชี้หรือไม่” อย่างไรก็ตาม พวกเขาค้นพบว่า “ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ เลยระหว่างจำนวนของการให้บัพติศมาในคริสตจักรแห่งหนึ่งกับการที่คริสตจักรนั้นได้เข้าร่วมในโครงการระดับชาตินี้หรือไม่” สำหรับเวลาและงบประมาณที่ทุ่มเทใปกับโครงการประกาศข่าวประเสริฐยังมีหวัง มันดูจะไม่ได้สร้างความแตกต่างมากเท่าไหร่ในแง่จำนวนของผู้คนที่กลายเป็นสมาชิกคริสตจักรที่ได้รับบัพติศมา มาร์ตินและวิสเซอร์ให้ข้อสรุปว่า “โครงการประกาศข่าวประเสริฐ [ดังกล่าว] อาจจะมีอิทธิผลบางอย่าง แต่ไม่มากไปกว่ากิจกรรมต่างๆ ที่เคยมีก่อนหน้าโครงการนี้”[21] มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคริสตจักรและองค์กรคู่มิตรคริสตจักร (parachurch organizations) ที่จะอภิปรายถึงจำนวนของคนที่เดินออกไปตามการเรียกให้คนออกมารับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมต่อไปราวกับว่าคนที่เดินออกไปกำลังกลับใจเชื่อ ถึงกระนั้น เป็นที่ยอมรับกันว่าบางคนเดินออกไปเพื่อการอุทิศ/ถวายตัวใหม่ บางคนเดินออกไปเพราะความสงสัย และบางคนไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน[22] เหตุผลที่แตกต่างกันในการเดินออกไปดังกล่าวถูกละเลยอย่างชัดเจนโดยการรายงานแบบแยกกลุ่ม ดังเช่นสมาคม Billy Graham Evangelistic Association ซึ่งเชื่อว่า 2% ของบรรดาผู้ที่เดินออกไปกลายเป็นคริสเตียนระหว่างการเทศนา, 48% ในระหว่างช่วงเวลาให้คำปรึกษา, และ 50% ในระหว่างช่วงเวลาติดตามผล[23] ความไม่คงเส้นคงวานี้นำไปสู่การตั้งคำถามว่าผู้คนกำลังตอบสนองต่ออะไร และเรากำลังหลอกตัวเองและผู้สนับสนุนด้วยการรายงานสิ่งที่อ้างว่าเป็น “การตัดสินใจ” เหมือนว่าพวกเขาเป็นคริสเตียนใหม่แล้ว จะเป็นการดีกว่าไหมหากเราจะเลือกใช้คำศัพท์ยุคเก่าของเนตเทิลตันและคนอื่นๆ โดยกล่าวว่า คนคนหนึ่ง “[เราหวังว่า]ได้กลับใจเชื่อ” โดยเป็นการสงวนความมั่นใจของเราไว้ก่อนจนกว่าพวกเขาจะออกผลบางอย่างและได้รับบัพติศมา?
ข้อวิจารณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมและการอธิษฐานรับเชื่อถูกปฏิเสธบ่อยครั้งด้วยการอ้างถึงสถิติของการกลับใจเชื่อตามที่มีการรายงาน อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลบ่งชี้มากมายว่าวิธีการเหล่านี้ไม่ได้สร้างผู้เชื่อบังเกิดใหม่ได้มากเท่ากับที่คนจำนวนมากเชื่อมั่น จำนวนของผู้กลับใจเชื่อที่มากเกินจริงทำให้รู้สึกว่าการเรียกให้ออกไปรับเชื่อฯ และการนำให้ผู้คนอธิษฐานเพื่อต้อนรับพระคริสต์เป็นเครื่องมือที่ได้ผลมากกว่า (และชอบธรรมกว่า) ที่มันเป็นจริงๆ
แต่แล้วทำไมวิธีการเหล่านี้มักจะไม่ได้ผล? เหตุใด “การตัดสินใจ” ไม่ได้นำไปสู่การเป็นสาวก? แน่นอนว่ามีหลากหลายปัจจัยไม่ว่าบริบททางวัฒนธรรมจะเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมแบบวิญญาณนิยมนำเสนอตัวแปรพิเศษที่ต้องพิจารณา ในทวีปอเมริกาและยุโรปมีความคุ้นเคยกับความเชื่อคริสเตียนแบบกว้างๆ และผิวเผิน ส่วนในวัฒนธรรมตะวันตกมีการให้คุณค่าอย่างสูงกับแนวคิดปัจเจกนิยม (individualism), เสรีภาพในการเลือก (freedom of choice), เหตุผลนิยมเชิงวิทยาศาสตร์ (scientific rationalism) และการแบ่งแยกระหว่างพื้นที่ชีวิตในทางโลก/ฆราวาส กับทางธรรม/ฝ่ายวิญญาณ ในวัฒนธรรมตะวันตกอิทธิพลของความเชื่อคริสเตียนกำลังเจือจางลงอย่างรวดเร็ว แต่ว่าแม้กระทั่งผู้คนฝ่ายฆราวาสก็ยังรู้จักคอนเซปต์คริสเตียนพื้นฐานต่างๆ เช่น เอกเทวนิยม (monotheism), สวรรค์, นรก, บาป, การพิพากษา, และการให้อภัย จริงอยู่ที่ความเข้าใจในคอนเซปต์เหล่านี้ของพวกเขามักจะกระท่อนกระแท่นและสับสน แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังมีอยู่บ้าง และในการแบ่งปันข่าวประเสริฐคริสเตียนชาวตะวันตกก็มักจะทึกทักเอาว่าผู้อื่นก็มีความคุ้นเคยกับคอนเซปต์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เราไม่อาจทึกทักเรื่องค่านิยมและภูมิหลังทางวัฒนธรรม รวมถึงความรู้ทางศาสนาของสังคมตะวันตกในสังคมแบบวิญญาณนิยม และในประเทศที่คนส่วนใหญ่ในทางการยึดถือศาสนาที่ไม่ใช่คริสเตียน[24] เช่นนั้นแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อวิธีการประกาศข่าวประเสริฐที่เป็นปัญหา (ที่ถูกพัฒนาในบริบททางวัฒนธรรมแบบหนี่ง) ถูกนำเข้าไป—โดยที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยน—สู่สังคมที่เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณซึ่งมีค่านิยมและสมมติฐานที่แตกต่าง?
เมื่อคนที่เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณประจัญหน้ากับการอธิษฐานรับเชื่อ
แม้ว่าการอธิษฐานรับเชื่อถูกออกแบบมาเพื่อช่วยผู้คนในการเป็นคริสเตียน แต่หลายครั้งมันส่งผลในทางตรงกันข้ามเป็นการยืนยันโลกทัศน์แบบวิญญาณนิยมของผู้คนอย่างถึงราก เพื่อที่จะเข้าใจว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเราจำเป็นต้องเข้าใจลัทธิวิญญาณนิยม (animism) ในหนังสือเรื่อง Communicating Christ in Animistic Contexts นักพันธกิจศาสตร์ที่ชื่อ Gailyn Van Rheenen ให้คำนิยามลัทธิวิญญาณนิยมว่าหมายถึง “ความเชื่อว่า ตัวตนทางจิตวิญญาณและพลังทางวิญญาณที่ไร้ตัวตนมีอำนาจเหนือกิจการของมนุษย์ และ (ดังนั้น) เชื่อว่ามนุษย์จะต้องค้นหาว่าตัวตนฯ และพลังฯ ใดบ้างกำลังมีอิทธิพลเหนือพวกเขาเพื่อที่จะกำหนดการกระทำในอนาคตและควบคุมจัดการอำนาจของมัน”[25] กล่าวอีกนัยหนึ่ง ลัทธิวิญญาณนิยม/ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณเป็นการใช้พิธีกรรมและและพิธีทางศาสนาเพื่อควบคุมโลกทางจิตวิญญาณให้ทำในสิ่งที่นักวิญญาณนิยมต้องการให้ทำ ไม่ว่าจะเป็นการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายหรือการอวยพร โดยมีทั้งนักวิญญาณนิยม/ผู้เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณแบบบริสุทธิ์ (pure animist) และนักวิญญาณนิยม/ผู้เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณแบบพื้นเมือง (folk animist) ซึ่งกลุ่มหลังมักจะเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาหลักของโลกอย่างศาสนาพุทธ ฮินดู อิสลาม หรือความเชื่อคริสเตียน โดยคงไว้ซึ่งความเชื่ออื่นๆ เพิ่มเติมที่อาจจะหรือไม่ได้สอดคล้องกับศาสนาที่เขาประกาศว่านับถืออยู่ ตัวอย่างเช่น ศาสนาพุทธแบบไทยมักจะเป็นการผสมระหว่างศาสนาพุทธ “บริสุทธิ์” กับความเชื่อแบบวิญญาณนิยมท้องถิ่นในวิญญาณ, ลางร้าย, เครื่องรางของขลัง, วัตถุมงคล, การทำนายโชคชะตา, โหราศาสตร์, เวทมนตร์, และอื่นๆ การผสมกันระหว่างความเชื่อเรื่องวิญญาณและศาสนาพุทธเป็นส่วนสำคัญของโลกทัศน์และระบบความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่ และโลกทัศน์ฝ่ายวิญญาณดังกล่าวนี้เองที่คนไทยนำมาด้วยเมื่อพวกเขาเข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์ประกาศข่าวประเสริฐหรือได้ฟังการนำเสนอพระกิตติคุณ
ต่างจากความเชื่อคริสเตียนแท้ ลัทธิวิญญาณนิยม/ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณไม่ใช่ศาสนาที่ใช้หัวใจ (heart religion) ที่เรียกร้องให้คุณเชื่อในบางอย่างจริงๆ จากเบื้องลึกของความเป็นมนุษย์ ลัทธิวิญญาณนิยม/ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณไม่ใช่เรื่องของการอุทิศตนหรือความรักที่คุณมีต่อเทพเจ้าหรือวิญญาณองค์ใดองค์หนึ่ง ลัทธิวิญญาณนิยม/ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณไม่ใช่เรื่องของการนำชีวิตของคุณไปอยู่ภายใต้มาตรฐานทางศีลธรรมที่มาจากสวรรค์เบื้องบน ลัทธิวิญญาณนิยม/ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณไม่ได้เรียกร้องให้คุณต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตหรือกลับใจจากบาปของคุณ แต่สิ่งที่มันเรียกร้องจากคุณก็คือ การกระทำพิธีทางศาสนาบางอย่างเพื่อกระตุ้นให้พลังทางวิญญาณที่ดำรงอยู่ดลบันดาลพรแก่คุณตามที่ปรารถนา กล่าวคือ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ภายนอกที่คุณกระทำเพื่อที่จะได้รับสิ่งที่คุณต้องการ แต่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงจากการเห็นแก่ตัวเองมาอุทิศนตนต่อพระเจ้า ข่าวประเสริฐเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงการจัดลำดับความสำคัญในชีวิต จากการจัดลำดับฯ ของเราเอง เป็นการให้พระเจ้าทรงจัดลำดับความสำคัญฯ ข่าวประเสริฐเป็นเรื่องของแผนงานของพระเจ้าสำหรับชีวิตเราว่าควรจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เรื่องของการใช้พิธีทางศาสนามาโน้มน้าวควบคุมพระเจ้าให้ทรงช่วยเราให้มีชีวิตที่เป็นสุขตามไอเดียของเราเอง ลัทธิวิญญาณนิยม/ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณโดยแก่นแท้แล้วเน้นการปฏิบัติและเน้นอรรถประโยชน์ ฉันจะทำอะไรก็ได้ที่ช่วยให้ไอเดียเรื่องชีวิตที่ดีของฉันบรรลุผล แม้ว่าลัทธิวิญญาณนิยม/ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณบางครั้งถูกลดทอนหรือปรับแต่งโดยความเชื่อและวิถีปฏิบัติของโลกทัศน์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาหลักของโลกหรือลัทธิมนุษย์นิยมเชิงวิทยาศาสตร์ แต่มุมมองชีวิตแบบวิญญาณนิยมยังคงให้กรอบปฏิบัติสำหรับการตัดสินใจสำคัญในชีวิตในวัฒนธรรมที่เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ และเป็นเรื่องที่ต้องพึงระลึกเสมอสำหรับใครก็ตามที่แบ่งปันข่าวประเสริฐกับผู้ที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิวิญญาณนิยม/ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ
โดยคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงต่างๆ ของลัทธิวิญญาณนิยม/ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ อะไรบ้างที่อาจเป็นอุปสรรคในการเรียกให้ผู้เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณตอบสนองต่อการเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมหรือกล่าวคำอธิษฐานรับเชื่อ? เหตุใดที่ผู้เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณที่มีประสบการณ์กับความเชื่อคริสเตียนที่จำกัดจึงอาจตกลงที่จะอธิษฐานรับเชื่อพระคริสต์? และเหตุใดการอธิษฐานรับเชื่อ (ตามที่ปฏิบัติกันทั่วไป) จึงล้มเหลวในการสร้างความเข้าใจและการกลับใจเชื่อจริงๆ แก่บรรดาผู้เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณจำนวนมาก?
1) การอธิษฐานรับเชื่อเป็นเพียงพิธีกรรมทางศาสนาอีกแบบหนึ่งที่อาจช่วยคุณให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
สำหรับผู้เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณที่ได้รับเชิญให้อธิษฐานรับเชื่อ ผมเชื่อว่าการให้เหตุผลของพวกเขา (ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่) ส่วนมากจะเป็นไปในลักษณะประมาณนี้ว่า: “ตอนนั้นที่ฉันไปหาร่างทรงมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาชีวิตฉันเลย และนักโหราศาสตร์ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าไหร่เหมือนกัน ฉันพยายามพกพาเครื่องรางของขลังที่คุณป้าของฉันให้มาแต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ไปสักยันต์ก็คงจะแพงไป บางทีพิธีของคริสเตียนแบบนี้อาจช่วยฉันได้ มีอะไรเสียหายตรงไหน? ทำไมไม่ลองกล่าวคำอธิษฐานที่ว่านี้ที่อาจารย์คริสเตียนดูจะกระตือรือร้นให้ฉันกล่าวตามเสียเหลือเกิน? อาจจะมีอะไรบางอย่างที่พิเศษเกี่ยวกับศาสนาฝรั่งนี่ก็ได้ ฉันจะลองนับถือศาสนาพระเยซูต่างชาติอันนี้สักพักและดูว่าจะมีฤทธิ์อำนาจอัศจรรย์อะไรตามที่พวกคริสเตียนกล่าวอ้างจริงรึเปล่า ถ้ามันเวิร์คจริงก็เยี่ยมไปเลย แต่ถ้ามันไม่เวิร์ค ฉันก็แค่หยุดและลองหาศาสนาอื่นต่อไป แม้ไม่ได้อะไรแต่ก็ไม่เสียหายตรงไหน”
2) คำอธิษฐานรับเชื่อถูกมองว่าเป็นคาถาวิเศษ
ตามลัทธิวิญญาณนิยม/ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ มันไม่ได้สำคัญว่าจะต้องเข้าใจความหมายของคำที่ถูกกล่าวในการอธิษฐานหรือการร่ายมนตร์ เพราะว่าพลังของการอธิษฐานอยู่ที่ความศักดิ์สิทธิ์ของคำที่ถูกกล่าวโดยตัวมันเอง ไม่ได้อยู่ที่ความเข้าใจในคำเหล่านั้นแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น บทสวดมนต์ที่วัดของชาวพุทธเป็นภาษาบาลีโบราณซึ่งปุถุชนทั่วไปไม่เข้าใจความหมาย อย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่พวกเขาได้ยินพระสงฆ์สวดหรือกล่าวบทสวดมนต์เหล่านั้นด้วยตนเองก็ถือว่าได้บุญ ดังนั้น เมื่อได้รับเชิญให้อธิษฐานรับเชื่อ ผู้เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณมีแนวโน้มอย่างมากที่จะเชื่อว่าถ้อยคำในคำอธิษฐานรับเชื่อนั้นเป็นคาถาวิเศษที่มีฤทธิ์อำนาจในการนำพรอันประเสริฐมาสู่ชีวิต ความหมายของถ้อยคำเป็นเรื่องรองและไม่สลักสำคัญอะไร การได้สวดพอเป็นพิธีก็ถือว่าเพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตาม นักประกาศข่าวประเสริฐคริสเตียนมักจะพลาดความเข้าใจสมมติฐานตามโลกทัศน์นี้ และทึกทักเอาว่าบรรดาผู้ที่อธิษฐานรับเชื่อพระคริสต์เข้าใจในสิ่งที่พวกเขาอธิษฐานและให้ความมั่นใจผู้เชื่อใหม่ว่า หากพวกเขาหมายความในสิ่งที่กล่าวอย่างจริงใจหรืออย่างแท้จริงพวกเขาย่อมได้รับความรอด กระนั้นมันก็เป็นไปได้ที่พวกเขาจะอธิษฐานอย่างจริงใจและแท้จริงโดยปราศจากความเข้าใจว่าถ้อยคำที่เพิ่งอธิษฐานไปหมายความว่าอะไร แต่ในการที่จะต้อนรับพระคริสต์อย่างแท้จริง บุคคลนั้นจะต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบุคคลภาพและพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ อย่างน้อยก็ในระดับพื้นฐาน
3) ผู้ที่ได้ยินคำอธิษฐานรับเชื่อให้ความหมายใหม่โดยอัตโนมัติแก่ถ้อยคำที่ได้ยิน เพื่อปรับให้เข้ากับโลกทัศน์แบบวิญญาณนิยมของตนเอง
นักประกาศชาวคริสเตียนใช้คำศัพท์อย่าง “พระเจ้า”, “บาป”, “สวรรค์”, “นรก”, “ชีวิตนิรันดร์” และ “อธิษฐานรับเชื่อ” ภายใต้สมมติฐานที่ว่าผู้ที่ได้ยินจะเข้าใจถ้อยคำเหล่านั้นในความหมายเดียวกับที่คริสเตียนเข้าใจ แต่เมื่อผู้ฟังมีภูมิหลังโลกทัศน์และความเชื่อที่แตกต่างอย่างสุดขั้วจากคริสเตียน สมมติฐานดังกล่าวย่อมมีปัญหา แม้ว่าในมุมมองของนักประกาศ ถ้อยคำต่าง ๆ ในคำอธิษฐานรับเชื่อแสดงถึงการยอมอุทิศตนต่อพระคริสต์ ผู้เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณกลับได้ยินและตีความคำเหล่านั้นโดยมุมมองที่ถูกปลูกฝังมาจากที่บ้าน โรงเรียน และวัดหรือศาลเจ้าท้องถิ่น ระบบคิดของพวกเขาเป็นไปในลักษณะที่ว่า: “อาจจะมีเทพเจ้าสักองค์อยู่ที่ไหนสักแห่ง และบางทีพระองค์อาจช่วยฉันได้ ใช่สิ ฉันเป็นคนบาป ใครไม่เป็นบ้างล่ะ? ฉันอยากไปสวรรค์ (ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์มีอยู่จริงหรือเป็นแค่ชีวิตที่มีความสุขบนโลกใบนี้ก็ตาม) ฉันไม่อยากตกนรกหากว่ามันมีจริง อย่างน้อยที่สุดพระเยซูก็สามารถช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานในชีวิตฉันได้ ซึ่งก็คือนรกบนดินนี่เอง ฉันสามารถต้อนรับพระเยซูให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากปัญหาและความยากลำบากในชีวิตฉันได้ ฉันเคยร้องขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ให้ช่วยฉันมาแล้วทำไมจะไม่ลองขอพระเยซูบ้างล่ะ?” นักประกาศฯ บางคนอธิบายข่าวประเสริฐและพยากรณ์ความเข้าใจผิดได้ดีกว่านักประกาศฯ คนอื่นๆ และผู้เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณบางคนมีประสบการณ์กับความจริงและหมวดหมู่ของพระคัมภีร์มากกว่าผู้เชื่อเรื่องภูตผีฯ คนอื่นๆ แต่เมื่อความเชื่อแบบอีแวนเจลิคัล/การประกาศข่าวประเสริฐอยู่แค่ระดับผิวเผิน ย่อมทำให้ความเข้าใจผิดทั้งมวลเรื่องข่าวประเสริฐไม่ได้รับการแก้ไขและการกลับใจเชื่อที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งฉาบฉวย โดยปกติแล้วการสร้างความเข้าใจเรื่องพระคริสต์และพระกิตติคุณที่เพียงพอต้องใช้เวลามากกว่าการนำเสนอข่าวประเสริฐ 20 นาทีหรือการร่วมนมัสการที่คริสตจักรทุกวันอาทิตย์เพียง 2-3 ครั้ง
ทางแก้ปัญหา: หากไม่ใช่การอธิษฐานรับเชื่อ แล้วใช้อะไรแทนดีล่ะ?
หากคุณได้อ่านบทความนี้จนถึงส่วนนี้แล้ว มันคงไม่เป็นที่แปลกใจว่าผมไม่ได้สนับสนุนการเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมหรือการนำให้ผู้คนอธิษฐานรับเชื่อ คุณอาจจะถามว่า “แต่ถ้าเราไม่ทำสิ่งเหล่านี้ เราจะนำผู้คนเข้าหาพระคริสต์ได้อย่างไรกันล่ะ?! มีทางเลือกอื่นเหรอ?!” ในส่วนสุดท้ายของบทความนี้ ผมใคร่ขอสรุปพร้อมกับข้อแนะนำบางประการถึงวิธีการที่เราสามารถช่วยผู้คนให้เข้าใจบุคคลภาพและพระราชกิจของพระคริสต์ และต้อนรับพระองค์ในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดโดยไม่ต้องพึ่งพาการเรียกให้ออกไปรับเชื่อฯ หรือการให้ความมั่นใจกับพวกเขาว่าหากกล่าวคำอธิษฐานบางรูปแบบแล้วพวกเขาจะได้รับความรอด และโดยที่คริสตจักรเติบโตและแพร่ขยายมาเป็นเวลามากกว่า 1,800 ปีก่อนที่วิธีการเหล่านี้จะได้รับความนิยม เรามีตัวอย่างก่อนหน้านี้จำนวนมากให้เรียนรู้ ทั้งตัวอย่างในอดีตและร่วมสมัย
ผู้อ่านพระคัมภีร์หลายคนจะตระหนักว่า ในพระธรรมกิจการ อัครทูตเปาโลและอัครทูตคนอื่นๆ มักจะให้บัพติศมาผู้เชื่อใหม่โดยทันที โดยในบรรดาเขาเหล่านั้นจำนวนมากเป็นชาวยิวหรือคนต่างชาติที่ยำเกรงพระเจ้าซึ่งมีพื้นฐานพระคัมภีร์อยู่แล้ว แต่เมื่อข่าวประเสริฐแพร่ขยายไปไกลกว่าศาสนายูดาห์ในยุคคริสตจักรยุคแรกซึ่งเป็นสมัยหลังอัครสาวก กระบวนการสอนคำสอน (catechesis) ที่ยาวนานเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อนการให้บัพติศมา บรรดาผู้ที่สนใจในการเข้าร่วมคริสตจักรถูกนำไปหาผู้นำของโบสถ์โดยผู้สนับสนุนซึ่งเป็นสมาชิกโบสถ์นั้น หากคริสตจักรยอมรับให้เริ่มกระบวนการสอนคำสอน ผู้ซักถามเหล่านี้จะกลายเป็น “ผู้เริ่มเรียน” (catechumen) ในฐานะผู้เริ่มเรียน บุคคลนั้นไม่เพียงถูกคาดหวังให้รับฟังพระวจนะแต่เชื่อฟังพระวจนะในการดำเนินชีวิตคริสเตียนด้วย เพื่อเป็นที่ยอมรับสำหรับระยะต่อไปของการสอนคำสอนซึ่งเข้มข้นกว่าเดิม บุคคลนั้นจะต้องแสดงว่ามีความเข้าใจและดำเนินชีวิตแห่งความเชื่อที่ถูกต้องเพื่อจะได้รับการพิสูจน์โดยคำพยานของคนอื่นๆ ในช่วงสุดท้ายของกระบวนการทั้งหมด ผู้เริ่มเรียนจะได้รับบัพติศมาและได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธีมหาสนิท กระบวนการทั้งหมดอาจกินเวลาหลายเดือนหรือหลายปีแต่ถือว่าจำเป็นสำหรับผู้เชื่อใหม่ที่มาจากภูมิหลังที่ไม่ใช่คริสเตียนโดยสิ้นเชิง[26] และคริสตจักรก็เติบโต บรรดาคริสตจักรในวัฒนธรรมที่ไม่ใช่คริสเตียนส่วนใหญ่ทุกวันนี้อาจทำได้ดีในการทำตามแนวทางดังกล่าวของคริสตจักรยุคหลังอัครสาวกในการนำผู้คนเข้าสู่ชุมชนคริสเตียน
ความเข้าใจที่นำไปสู่ความเชื่อแท้ต้องใช้เวลา ซึ่งเป็นความจริงอันเป็นที่รับรู้โดยคริสตจักรยุคแรกรวมถึงบรรดานักประกาศฯ และผู้รับใช้ยุคปัจจุบันจำนวนมาก ทิสสา วีระสิงห์ (Tissa Weerasingha) ศิษยาภิบาลที่ทำพันธกิจท่ามกลางชาวพุทธแบบพื้นบ้านในศรีลังกา ได้สังเกตเห็นว่าการกลับใจเชื่อมักจะเกิดขึ้นเป็นขั้นๆ ขั้นแรกคือการหันหนีจากรูปเคารพ แต่การสัมผัสรับรู้พระวจนะของพระเจ้าและวิงวอนพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างสม่ำเท่านั้นที่สามารถนำให้บุคคลที่มีภูมิหลังศาสนาแบบพื้นบ้านได้มีความรู้ที่แท้จริงเรื่องการประทานอภัยของพระคริสต์ จากประสบการณ์ของทิสสา มันเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะ “ตัดสินใจทันที” ในการยอมรับพระคริสต์ การตัดสินใจดังกล่าว “มักจะไม่มีความหมายอะไรสำหรับพวกเขาเพราะในขั้นแรกๆ พวกเขาไม่มีความเข้าใจในความหมายที่แท้จริงของพระกิตติคุณ”[27]
ทางเลือกอื่นแทนการเรียกให้คนออกมารับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมและการเชิญให้คนอธิษฐานตามเราเพื่อต้อนรับพระคริสต์ ก็คือการพาพวกเขาอ่านพระคัมภีร์, การเชิญพวกเขาไปร่วมการสามัคคีธรรมของคริสตจักรและชุมชนคริสเตียนในระดับที่กว้างกว่านั้น, และการรอคอยพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เปลี่ยนแปลงหัวใจของพวกเขา บ่อยครั้งมันยากที่จะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทำงานในหัวใจของบุคคลหนึ่งและทำงานอย่างไร (ยอห์น 3:8). นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องรอให้ความเชื่อแท้สำแดงตัวเองออกมาในเวลาที่เหมาะสม เมื่อผู้คนประกาศรับเชื่อก่อนเวลาอันควร (ก่อนที่พวกเขาได้บังเกิดใหม่) โดยการกระตุ้นของนักประกาศฯ ที่ร้อนรน มันเป็นเรื่องยากกว่าเดิมสำหรับพวกเขาที่จะถามคำถามและแสดงข้อสงสัยต่างๆ ที่อาจเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่ยังไม่ได้ประกาศรับเชื่อ หากเราเชื่อวางใจพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแท้จริงให้ทรงทำงานในเวลาและวิธีทางของพระองค์ และหากเราเชื่อว่าฤทธิ์อำนาจแห่งการเปลี่ยนแปลงของพระองค์เป็นผู้ให้กำเนิดความเชื่อแท้ในบุคคลหนึ่ง หาใช่ความสามารถของเราในการโน้มน้าวชักจูง เราก็จะสามารถแบ่งปันข่าวประเสริฐกับผู้คน, ศึกษาพระวจนะกับพวกเขา, และหนุนใจให้เขากลับใจใหม่และเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์โดยไม่ต้องรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องพาเขากล่าวคำอธิษบานรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หากพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังเปลี่ยนแปลงหัวใจของพวกเขา มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนความเปลี่ยนแปลงนั้น คนคนนั้นเองจะต้องการสำแดงความเชื่ออันสดใหม่ของเขาและต้องการเติบโตในฐานะผู้ติดตามของพระคริสต์ เมื่อความเชื่อนั้นสำแดงตัวเอง มันควรจะเป็นการทำบัพติศมาที่ถือเป็นการประกาศต่อสาธารณะว่าบุคคลนี้เป็นของพระคริสต์ หาใช่การอธิษฐานรับเชื่อ
ถึงกระนั้น เราจะทำอะไรได้บ้างหากเราอยู่ในบริบทของพันธกิจ ที่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการที่ผู้คนซึ่งน่าจะยังไม่ได้บังเกิดใหม่เข้าร่วมการนมัสการหรือกลุ่มสามัคคีธรรม โดยได้ “กล่าวคำอธิษฐานรับเชื่อ” และได้รับการประกาศว่าเป็นคริสเตียน? หลายปีมาแล้ว ศิษยาภิบาลที่ชื่อว่า วัลย์ เพชรสงคราม ได้ให้ข้อแนะนำเชิงปฏิบัติในเรื่องนี้ ในชุดคำบรรยายว่าด้วยศาสนาพุทธ อาจารย์วัลย์ได้กล่าวไว้ว่า:
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญในการที่คนไทยมาเป็นคริสเตียน คริสเตียนมาเป็นปี ปีหนึ่งหายไปประมาณ 80% เห็นจะได้ไหมครับ คนที่มาเป็นคริสเตียนแล้วหายไปนะครับ อันนี้เราต้องเข้าใจ ผมรู้สึกว่าปัญหาหนึ่งที่ทำให้คริสเตียนในประเทศไทยคือว่าขณะที่มาเป็นคริสเตียนด้วยเหตุบางสิ่งบางประการแล้ว เมื่อเป็นด้วยเหตุบางสิ่งบางประการในขณะที่เหตุนั้นยังอยู่ แต่เมื่อเหตุนั้นหมดไปก็เลิกเป็นคริสเตียน เพราะฉะนั้นในระยะที่เขาเป็นคริสเตียน เรารู้ว่าเขาเป็นเพราะเหตุบางอย่างยังอยู่นั้น คุณรีบฉวยโอกาสสอนเต็มที่เลยนะครับ ถ้าคุณไม่รีบฉวยโอกาสในขณะที่เหตุยังอยู่ พอเหตุหมดเขาก็เลิกเป็นคริสเตียน[28]
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชาวไทยพุทธแบบพื้นบ้านหลายคน (และผู้เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณกลุ่มอื่นๆ) ประกาศความเชื่อในพระคริสต์ไม่ใช่เพราะพวกเขามั่นใจในความจริงแห่งข่าวประเสริฐ, อยากได้การอภัยบาป, หรือมีหัวใจที่ได้บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่พวกเขาประกาศรับเชื่อเพราะว่าพวกเขาหวังว่าการเปลี่ยนเป็นคริสเตียนจะซ่อมหรือแก้ไขปัญหาที่แก้ไม่ตกในปัจจุบันของพวกเขา วิธีการในการช่วย “คริสเตียน” ที่ยังไม่ได้กลับใจเชื่อเหล่านี้ไม่ใช่ด้วยการวิเคราะห์ว่าพวกเขาหมายความเช่นนั้นจริงในตอนที่เขาอธิษฐานรับเชื่อพระคริสต์ หนุนใจให้เขาอธิษฐานใหม่อีกครั้งและให้หมายความเช่นนั้นจริงๆ ในครั้งนี้ แต่ว่า ตราบใดที่พวกเขายังเป็นสมาชิกคริสตจักรและยินดีที่จะรับฟัง เราควรใช้โอกาสนี้ในการสอนพระวจนะของพระเจ้าและแสดงความรักต่อพวกเขาด้วยหวังว่าพวกเขาจะกลับใจเชื่ออย่างแท้จริง วิธีการแบบอีแวนเจลิคัลในพื้นที่/สถานที่ต่างๆ ที่เรารับใช้อยู่จะไม่นำการเปลี่ยนแปลงให้เกินขึ้นชั่วข้ามคืน ฉะนั้นเราจำเป็นต้องใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากสถานต่างๆ ที่ไม่สมบูรณ์แบบ
แต่สมมติว่าคุณและผู้คนในคริสตจักรของคุณได้เห็นปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมและหนุนใจให้อธิษฐานรับเชื่อพระคริสต์ ทางเลือกที่ผมได้นำเสนอไปแล้วข้างต้นมันเวิร์คจริงเหรอ? ด้วยเกรงว่าบางคนจะคิดว่าแนวคิดเรื่องการได้รับความรอดของผู้คนโดยปราศจากการอธิษฐานรับเชื่อเป็นเพียงเรื่องเชิงทฤษฎี และน้ำหนักของประวัติศาสตร์คริสตจักรทั้งหมดก่อนปี 1800 ไม่เพียงพอ ผมอยากจะให้สองตัวอย่างของการกลับใจเชื่อที่ปราศจากการอธิษฐานรับเชื่อ โดยตัวอย่างหนึ่งร่วมสมัยและอีกตัวอย่างหนึ่งในยุคประวัติศาสตร์
เกือบ 20 ปีที่แล้ว หนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยรายหนึ่งปรากฏตัวหน้าประตูคริสตจักรของเราในพื้นที่ภาคกลางของไทยเพื่อขอเข้ารับการสร้างสาวก ก่อนที่ผมจะพบกับเขา เขาได้พยายามค้นหาคำตอบต่อคำถามสำคัญต่างๆ ของชีวิต ในช่วงเวลานั้นเขาเริ่มเรียนภาษาอังกฤษกับมิชชันนารีบางคนและเข้าร่วมค่ายอบรมคริสเตียน (ซึ่ง ณ ตอนนั้นเขาไม่ได้ชอบเท่าไหร่) เขาไม่เคยอธิษฐานรับเชื่อกับใครหรือไม่เคยตอบสนองต่อการเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุม แต่ในวันหนึ่งขณะที่เขากำลังเดินไปตามถนน เขาตระหนักว่าสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาทั้งหมดเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นความจริง พระเจ้าทรงฉายแสงไฟและผู้ชายคนนี้ได้เดินตามพระองค์อย่างจริงจังนับตั้งแต่นั้นมา
หลายปีก่อนหน้านั้น เมื่อปี 1869 อดีตเจ้าอาวาสศาสนาพุทธท่านหนึ่งที่ชื่อว่า หนานอินต๊ะ อยู่ระหว่างศึกษาพระคัมภีร์และหนังสือคำถาม-คำตอบสังเขปเวสต์มินสเตอร์ (Westminster Shorter Catechism) กับมิชชันนารี ดาเนียล แมคกิลวารี (Daniel McGilvary) ในพื้นที่ภาคเหนือของไทย โดยเขาเปรียบเทียบข้ออ้างต่างๆ ของข่าวประเสริฐกับข้ออ้างต่างๆ ของความเชื่อพุทธแบบพื้นบ้านของเขาและใคร่ครวญประเด็นเหล่านี้ ภายหลังจากการพยากรณ์ของแมคกิลวารีเกี่ยวกับสุริยุปราคาทำให้ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณของเขาสั่นคลอน ซึ่งแต่เดิมเขาเชื่อว่าสุริยุปราคาเกิดจากปีศาจร้ายกลืนกินพระอาทิตย์ เขาตระหนักว่าสิ่งที่แมคกิลวารีสอนจากพระคัมภีร์เป็นความจริงเช่นกัน คำพยานของหนานอินต๊ะเกี่ยวกับการกลับใจเชื่อของเขาตามที่บันทึกไว้โดยแมคกิลวารี ก็คือ ภายหลังจากสุริยุปราคา ในขณะที่เขา “กำลังเดินในทุ่งนาและใคร่ครวญเรื่องนี้ ทุกอย่างเป็นที่กระจ่างแก่เขา ข้อสงสัยทั้งหมดของเขาหายไปเสียสิ้น” ในเช้าวันต่อมาเขาไปพบกับแมคกิลวารีและกล่าวว่า “แม่นแต๊!”[29] และนั่นคือการที่คนคนแรกในภาคเหนือของไทยมารับเชื่อพระคริสต์ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เปลี่ยนแปลงคนคนหนึ่งและสร้างความเชื่อแท้ในพระคริสต์แก่บุคคลนั้น ความเชื่อแท้นั้นไม่อาจถูกซุกซ่อนและจะไม่ถูกปกปิด
หากเราไม่รอคอยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ประกอบสร้างความเชื่อในคนคนหนึ่งในเวลาของพระองค์ ผลลัพธ์อาจเป็นความหายนะ ไม่เพียงแต่จะมีบางคนกลายเป็นผู้มาร่วมโบสถ์แค่ในนาม ซึ่งย่อมจะทำร้ายคริสตจักรด้วยพฤติกรรมที่ไม่บังเกิดใหม่และไม่ยำเกรงพระเจ้า แต่คนอีกจำนวนมากจะละลายหายกลับไปยังสังคมเดิมโดยเชื่อว่าได้พยายามกับความเชื่อคริสเตียนแล้วและพบว่ามันไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ พวกเขาได้รับการฉีดวัคซีนต้านข่าวประเสริฐเป็นอย่างดีโดยรับเอาศาสนาคริสต์เวอร์ชั่นที่อ่อนด้อยและตายด้าน แต่กลับคิดว่าตัวเองได้รับของจริง การไม่มีคำพยานเกี่ยวกับข่าวประเสริฐกลายเป็นคำพยานเชิงลบเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ สิ่งนี้เกิดขึ้นครั้งหนึ่งกับสตรีรายหนึ่งที่ผมและภรรยารู้จักในพื้นที่ภาคกลางของไทย เราพูดคุยกับเธอเป็นประจำที่ซุ้มขายอาหารข้างถนนของเธอ โดยบางครั้งคุยกันเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ แม้ว่าเธอดูไม่ได้สนใจในเรื่องฝ่ายวิญญาณสักเท่าไหร่ แต่กระนั้นครั้งหนึ่งเมื่อผมและภรรยาออกไปนอกเมือง มีสมาชิกโบสถ์รายหนึ่งโทรหาและบอกเราว่าเพื่อนที่เป็นแม่ค้าของเราและแม่ของเธอได้อธิษฐานรับเชื่อพระคริสต์แล้ว สรรเสริญพระเจ้า… จริงไหม? เมื่อพวกเรากลับมาบ้านและภรรยาของผมเริ่มแวะไปหาสตรีท่านนี้และแม่ของเธอเพื่อศึกษาพระคัมภีร์ด้วยกันกลับพบว่ายากมากๆ เธอแทบไม่สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเลย การศึกษาพระคัมภีร์เป็นเรื่องยุ่งยาก เธอมาโบสถ์ไม่กี่ครั้งและจากนั้นไม่มาอีก แล้วก็ไม่พบปะกับภรรยาของผมอีก เรายังเห็นเธอที่ซุ้มขายอาหารของเธอ แต่บทสนทนาอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับคริสเตียนกลายเป็นเรื่องตึงเครียดอย่างมาก ในท้ายที่สุดเราได้ยินจากคนอื่นๆ ว่าสตรีท่านนี้เที่ยวบอกคนอื่นๆ ที่ตลาดแถวนั้นว่าเธอเคยเป็นคริสเตียนแล้วแต่ว่าไม่เห็นจะมีอะไรเลย แทนที่เธอจะเป็นพยานเพื่อข่าวประเสริฐ บัดนี้เธอเป็นพยานต่อต้านข่าวประเสริฐ
ผมมั่นใจว่าคริสเตียนส่วนใหญ่ที่เรียกให้คนออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมและนำผู้คนให้กล่าวคำอธิษฐานรับเชื่อพยายามที่จะช่วยเหลือผู้คนด้วยใจจริง ผมไม่กล่าวโทษแรงจูงหรือความรักของพวกเขาที่มีต่อพระคริสต์ แต่ในฐานะผู้รับใช้ของพระคริสต์และผู้ส่งสารข่าวประเสริฐ เราติดค้างกับองค์พระผู้เป็นเจ้าในการแสวงหาวิถีทางที่ดีที่สุดในการถวายเกียรติแด่พระองค์และนำผู้คนเข้าหาพระคริสต์มิใช่หรือ? ไม่ใช่ว่าเราควรแสวงหา “วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด” ในความเชื่อแบบอีแวนเจลิคัล/การประกาศข่าวประเสริฐและพึงพอใจกับสิ่งที่นิยมทำกันและเรามีความคุ้นเคยอยู่แล้วหรอกหรือ?
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมและการอธิษฐานรับเชื่อเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์การกลับใจเชื่อของผู้คนมากมายที่ได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริงและดำเนินชีวิตกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งในปัจจุบันและในอดีตที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าในจำนวนนั้นคือผู้ที่กำลังอ่านบทความนี้เช่นกัน อย่างไรก็ดี สมมติว่าไม่มีการเรียกให้ออกไปรับเชื่อฯ หรือไม่มีใครหนุนใจให้คุณอธิษฐานรับเชื่อตามพวกเขา คุณยังจะมาถึงความเชื่อนี้หรือเปล่า? พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ทุกคนที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ก่อนเพื่อรับความรอดจะมาถึงพระคริสต์ (ยอห์น 6:37-39, โรม 8:28-30). บรรดาผู้ที่เป็นของพระคริสต์ทั้งหมดจะมาถึงพระองค์อย่างแน่นอน หากไม่ใช่โดยผ่านการเรียกให้ออกไปรับเชื่อฯ และการอธิษฐานรับเชื่อก็ต้องผ่านวิธีการอื่นอย่างแน่นอน เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าวิธีการ/เครื่องมือใดๆ มากมายหลายเท่า
อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้วิธีการหนึ่งๆ เพียงเพราะมัน “เวิร์ค” บ่อยครั้งมันไม่ใช่เหตุผลที่เพียงพอสำหรับการเลือกใช้มันต่อไป การเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมและสร้างความมั่นใจแก่ผู้คนว่าพวกเขาเป็นคริสเตียนแล้วเพราพวกเขาได้กล่าวคำอธิษฐานแบบใดแบบหนึ่งมักจะสร้างความสับสนมากกว่าความกระจ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ฟังของเรามีประสบการณ์ในเรื่องข่าวประเสริฐน้อยมากๆ มันจะต้องใช้เวลานานพอสมควรที่จะทำให้ผู้คน (โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่มาจากวัฒนธรรมแบบวิญญาณนิยม/ที่เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ) เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของข่าวประเสริฐและนำพวกเขาไปถึงจุดที่สามารถเชื่อวางใจในพระคริสต์อย่างแท้จริง เราไม่ได้รับความรอดด้วยปริมาณความรู้ที่เรามี อย่างไรก็ตาม คน ๆ หนึ่งจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า โลก และตนเองในระดับที่เหมาะสมเพื่อที่เขาจะวางใจในพระคริสต์ได้อย่างแท้จริง
พระคัมภีร์ให้ความมั่นใจกับเราว่า บรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้เพื่อความรอดจะมาถึงพระเยซูอย่างแน่นอน (ยอห์น 6:37) ไม่ว่าจะมีหรือปราศจากคนที่จะนำพวกเขาอธิษฐานรับเชื่อก็ตาม การเลือกที่จะไม่เรียกให้คนออกไปอธิษฐานรับเชื่อหรือนำพวกเขาให้อธิษฐานรับเชื่อไม่ได้เป็นการขัดขวางผู้คนจากหนทางสู่ความรอด มันเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าที่จะอนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในเวลาของพระองค์และวิถีทางของพระองค์ในการนำผู้คนมาสู่ความเชื่อคริสเตียนในขณะที่เราแบ่งปันพระวจนะ, อธิษฐาน, และสำแดงความรักต่อบรรดาผู้ที่ยังไม่รู้จักพระคริสต์
หนังสือแนะนำ
Bennett, David. The Altar Call – Its Origins and Present Usage. Lanham, Md.: University Press of America, 2000.
Karl Dahlfred,Theology Drives Methodology: Conversion in the Theology of Charles Finney and John Nevin. Scotts Valley, Calif.: CreateSpace Independent Publishing Platform, 2013.
Martin, Dwight, and Marten Visser. “Sense and Nonsense of Large-Scale Evangelism.” Evangelical Missions Quarterly 48, no. 2 (April 2012): 136-37.
Murray, Iain H. Revival and Revivalism: The Making and Marring of American Evangelicalism, 1750-1858. Edinburgh: Banner of Truth Trust, 1994.
Packer, J.I., and Gary Parrett. Grounded in the Gospel: Building Believers the Old-Fashioned Way. Kindle ed. Grand Rapids, Mi.: Baker Books, 2010.
Weerasingha, Tissa. “Karma and Christ: Opening Our Eyes to the Buddhist World.” International Journal of Frontier Missions 10, no. 3 (July 1993): 103-04.
[1]สำหรับประวัติศาสตร์ของความเชื่อแบบอีแวนเจลิคัล/การประกาศข่าวประเสริฐในศตวรรษที่ 20 โปรดดู Brian Stanley, The Global Diffusion ofEvangelicalism: The Age of Billy Graham and John Stott, vol. 5, A History of Evangelicalism (Downers Grove, Ill.: IVP Academic, 2013). สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ/ลัทธิวิญญาณนิยม โปรดดู Gailyn Van Rheenen, Communicating Christ in Animistic Contexts (Pasadena, Calif.: William Carey Library, 2013).
[2]การเรียกให้ออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุมและการอธิษฐานรับเชื่อเป็นวิธีการแบบอีแวนเจลิคัลที่แตกต่างกันแต่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่เพื่อความสั้นกระชับ ในบทความนี้ผมจะเน้นไปที่การอธิษฐานรับเชื่อ สำหรับประวัติศาสตร์แบบละเอียดของสองวิธีการนี้ โปรดดู David Bennett, The Altar Call – Its Origins and Present Usage (Lanham, Md.: University Press of America, 2000).; The Sinner’s Prayer: Its Origins and Dangers (Capalaba, Qld.: Even Before Publishing, 2011).
[3]Bennett, Altar Call, 21-22.; มีตัวอย่างหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ของจอร์จ ไวท์ฟีลด์ ซึ่งเรียกให้ผู้คนประกาศความเชื่อต่อหน้าที่ประชุม แต่นี่ไม่ใช่กิจปฏิบัติปกติของเขา โปรดดู Thomas Kidd, “A Brief History of the Altar Call,” The Gospel Coalition, สืบค้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2020, https://www.thegospelcoalition.org/blogs/evangelical-history/a-brief-history-of-the-altar-call/.
[4]Bennett, Altar Call, 9.
[5]Bennet Tyler and Andrew Bonar, Asahel Nettleton: Life and Labours (Edinburgh: Banner of Truth Trust, 1996), 118-20, 35, 45-47, 64, 71, 243, 56, 300-09.
[6]Ibid., 316-17, 23-24.; มีการกล่าวอ้างว่า มีคน 25,000 คนมารับเชื่อในช่วงเวลาการรับใช้ของเนตเทิลตัน David Bennett, The Altar Call: Its Origins and Present Usage (Brisbane, Aus.: Camp Hill Publications, 2000), 165.
[7]Iain H. Murray, Revival and Revivalism: The Making and Marring of American Evangelicalism, 1750-1858 (Edinburgh: Banner of Truth Trust, 1994), 171.
[8] สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับศาสนศาสตร์และวิธีการประกาศข่าวประเสริฐของฟินนีย์ โปรดดู Karl Dahlfred, Theology Drives Methodology: Conversion in the Theology of Charles Finney and John Nevin (Scotts Valley, Calif.: CreateSpace Independent Publishing Platform, 2013).
[9]Tyler and Bonar, Nettleton, 118-19.
[10]Ibid., 106-07.
[11]Charles G. Finney, Lectures on Revivals of Religion (Virginia Beach, Va.: CBN University Press, 1978), 4.; Cf. David Aikman, Billy Graham: His Life and Influence, Kindle ed. (Nashville: Thomas Nelson, 2010), 19.
[12] “คริสตจักรเชื่อเสมอมาว่ามันจำเป็นที่จะต้องมีบางสิ่งแบบนั้นเพื่อสนองวัตถุประสงค์นี้ ในยุคสมัยของอัครทูตการบัพติศมาสนองวัตถุประสงค์นี้ ผู้คนได้ฟังการเทศนาข่าวประเสริฐ และจากนั้นบรรดาทุกคนที่เต็มใจจะเข้าอยู่ฝ่ายพระคริสต์ได้รับการเรียกให้รับบัพติศมา มันทำหน้าที่เดียวกับที่ ‘ที่นั่งกระวนกระวาย’ (anxious seat) ทำอยู่ตอนนี้ นั่นคือ การสำแดงความมุ่งมั่นในการเป็นคริสเตียนต่อสาธารณชน” Finney, Lectures, 282.
[13]Tyler and Bonar, Nettleton, 340.
[14]D. G. Hart, John Williamson Nevin: High Church Calvinist (Phillipsburg, N.J.: P&R Publishing, 2005), 91-94.
[15]John Williamson Nevin, The Anxious Bench (Second Edition), Antichrist, and the Sermon Catholic Unity, reprint ed. (Eugene, Ore.: Wipf and Stock Publishers, 2000), 35-39.
[16] James Boyle to Charles Finney, 25 ธันวาคม 1834, Finney Papers, Oberlin College, Oberlin, Ohio, อ้างถึงใน James Johnson, “The Life of Charles Grandison Finney” (Ph.D diss., Syracuse University, 1959), 400.
[17]Bennett, Altar Call, 112.
[18]Aikman, Billy Graham: His Life and Influence, 21.
[19] สำหรับคำนิยามที่ละเอียดกว่าและตัวอย่างต่างๆ ของการอธิษฐานรับเชื่อ โปรดดูบทที่ 1 ใน Bennett, Sinner’s Prayer, Kindle Locations 135-368.
[20]The Altar Call: Its Origins and Present Usage, 165-72 (Australian edition).
[21]Dwight Martin and Marten Visser, “Sense and Nonsense of Large-Scale Evangelism,” Evangelical Missions Quarterly 48, no. 2 (April 2012): 136-37. และสามารถเข้าถึงทางออนไลน์ได้ทาง https://missionexus.org/sense-and-nonsense-of-large-scale-evangelism/
[22]Bennett, Altar Call, 169.
[23]Ibid., 195.
[24] ประมาณ 40% ของประชากรโลกมีโลกทัศน์ที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิวิญญาณนิยม แต่นี่อาจเป็นการประเมินขั้นต่ำเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณมักจะซ่อนอยู่ภายใต้อัตลักษณ์ทางศาสนาอื่นๆ Van Rheenen, Communicating Christ, 25.
[25]Ibid., 20.
[26]J.I. Packer and Gary Parrett, Grounded in the Gospel: Building Believers the Old-Fashioned Way, Kindle ed. (Grand Rapids, Mi.: Baker Books, 2010), Kindle Locations 984-1058.
[27]Tissa Weerasingha, “Karma and Christ: Opening Our Eyes to the Buddhist World,” International Journal of Frontier Missions 10, no. 3 (July 1993): 103-04.
[28]วัลย์ เพชรสงคราม, ศาสนาพุทธ, (ลพบุรี: Lopburi Learning Centre (OMF), 2009).; cf. Karl Dahlfred, “Moving Beyond Felt Needs,” เข้าถึงเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2024, https://www.dahlfred.com/blogs/gleanings-from-the-field/290-moving-beyond-felt-needs.
[29]Daniel McGilvary, A Half Century among the Siamese and the Lao: An Autobiography, ed. Cornelius Beach Bradley (New York: Fleming H. Revell Company, 1912), 98.