บทความศาสนศาสตร์พระคัมภีร์เดิม

ธนิต โลเกศกระวี

ผู้เขียน ธนิต โลเกศกระวี
ผู้อำนวยการพระคริสตธรรมเชียงใหม่ และ
ผู้นำคริสตจักรชุมชนสันป่าตอง
ThM (Singapore Bible College) สาขา Old Testament Studies

บทคัดย่อ

คำถามของซาตาน “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆหรือ” (โยบ 1:9) ท้าทายแรงจูงใจและพลวัตรในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า บทความนี้ศึกษาความสำคัญเชิงศาสนศาสตร์ของคำฮีบรู חִנָּם (ฆินนาม) “เปล่าๆ” ในพระธรรมโยบ โดยมุ่งเน้นที่การอุทิศตนในความสัมพันธ์แท้กับพระเจ้าแบบ “เปล่าๆ” คือ ปราศจากผลประโยชน์แอบแฝง การศึกษานี้ใช้วิธีการวิเคราะห์คำ และการสะท้อนคิดเชิงศาสนศาสตร์ เพื่อนำเสนอว่าการใช้คำ חִנָּם (ฆินนาม) เชิงเศรษฐศาสตร์ในพระคัมภีร์เดิมตอนอื่นๆ ช่วยให้เข้าใจความหมายของคำนี้ในพระธรรมโยบ และเพื่อเปรียบเทียบศาสนศาสตร์การตอบแทน (retributive theology) ที่แพร่หลายในโลกโบราณกับพระกิตติคุณแห่งความมั่งคั่งที่แพร่หลายในโลกปัจจุบัน บทความนี้หนุนใจผู้อ่านในการดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์แท้กับพระเจ้าที่โยบเป็นตัวอย่าง และสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ผู้อุทิศตนต่อพระบิดาแบบ חִנָּם (ฆินนาม) อย่างแท้จริง

บทนำ

คำว่า חִנָּם (ฆินนาม) “เปล่าๆ” มีบทบาทสำคัญในการเข้าใจความหมายเชิงศาสนศาสตร์ของพระธรรมโยบ โดยเฉพาะในแง่ความสัมพันธ์ที่แท้จริงที่มนุษย์มีต่อพระเจ้า บทความนี้เริ่มด้วยการศึกษาคำจากรากศัพท์ภาษาฮีบรู และการใช้คำนี้ในพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่จะวิเคราะห์การใช้คำนี้ในบริบทของพระธรรมโยบ ว่าคำนี้ท้าทายกรอบคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์และศาสนศาสตร์ผลตอบแทน (Retributive Theology) อย่างไร

การวิเคราะห์คำศัพท์ חִנָּם

คำศัพท์ חִנָּם (ฆินนาม)[1] เป็นคำกริยาวิเศษณ์[2]แปลว่า “เปล่าๆ (ไม่คิดมูลค่า gratuitously), “ไม่มีสาเหตุ” (without cause), ไร้ผล (in vain) มาจากรากศัพท์ของกริยา חנן (ฆ-น-น) แปลว่า “สำแดงพระคุณ” (to be gracious) หรือ “แสดงความโปรดปราน” (to show favor) คำนี้ปรากฏ 57 ครั้งในพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษาฮีบรู และถูกใช้อย่างมีนัยแห่งพัฒนาการจากความหมายเชิงรูปธรรม (เศรษฐศาสตร์) สู่นามธรรม (ศีลธรรม) ซึ่งช่วยกำหนดกรอบไวยากรณ์ในการเข้าใจลักษณะของกริยานี้ในบริบทของพระธรรมโยบด้วย

 

พัฒนาการของการใช้คำ חִנָּם ในพระคัมภีร์เดิม[3] 

การใช้เชิงเศรษฐศาสตร์ในเบญจบรรณ

ความหมายดั้งเดิมของคำนี้ สะท้อนในการใช้ในบริบทเชิงรูปธรรม คือ การแลกเปลี่ยนเชิงเศรษฐศาสตร์ ซึ่งสะท้อน การทำธุรกรรมที่ “ปราศจากการจ่าย” “ปราศจากการชดเชย” หรือ “การให้โดยไม่คิดมูลค่า” ตัวอย่างเช่น

ปฐม‍กาล 29:15

แล้วลาบันพูดกับยาโคบว่า “เพราะเจ้าเป็นญาติของเรา จึงไม่ควรที่เจ้าจะทำงานให้เราเปล่าๆ (חִנָּם) เจ้าจะเรียกค่าจ้างเท่าไร? จงบอกมาเถิด”

อพยพ 21:2

“ถ้าเจ้าซื้อคนฮีบรูไว้เป็นทาส เขาจะปรนนิบัติเจ้าหกปี แต่ปีที่เจ็ดเขาจะได้เป็นอิสระโดยไม่ต้องเสียค่าไถ่  (חִנָּם)  

อพยพ 21:11

ถ้าเขาไม่ได้ทำสามอย่างนี้แก่เธอ หญิงนั้นจะไปก็ได้โดยไม่ต้องมีค่าไถ่ ไม่ต้องเสียเงิน (חִנָּם)

กัน‌ดาร‍วิถี 11:5

เราคิดถึงปลาที่เราเคยกินโดยไม่ต้องซื้อ (חִנָּם) ในอียิปต์ อีกทั้งแตงกวา แตงโม กระเทียมจีน หอมใหญ่ หัวกระเทียม

การใช้เชิงประยุกต์ในหมวดประวัติศาสตร์ กวีนิพนธ์ และผู้เผยพระวจนะ

คำนี้ถูกใช้เชิงประยุกต์จากความหมายรูปธรรม สู่ความหมายเชิงศีลธรรม/จริยธรรม ในแง่การปราศจากเป้าหมาย ผลลัพธ์ เช่น “ไม่เป็นผล” “ไร้สาเหตุ” “ไม่มีความผิด” “โดยไร้เหตุผล” ตัวอย่างเช่น

1 ซา‌มู‌เอล 19:5

เพราะเขาเสี่ยงชีวิตของตน และฆ่าคนฟีลิสเตียนั้น และพระยาห์เวห์ประทานชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สู่อิสราเอลทั้งปวง ฝ่าพระบาททรงเห็นแล้วและทรงชื่นชมยินดี แต่ทำไมฝ่าพระบาทจะทรงทำบาปต่อโลหิตที่ไร้ความผิด โดยฆ่าดาวิดเสียอย่างไร้สาเหตุ (חִנָּם)?”

1 พงศ์‍กษัตริย์ 2:31

พระราชาตรัสตอบเขาว่า “จงทำตามที่เขาบอก จงประหารเขาเสียและฝังเขาไว้ ทั้งนี้จะได้เอาโทษของความผิด ซึ่งโยอาบได้ฆ่าคนที่ไม่มีความผิด (חִנָּם) นั้นไปเสียจากเรา และจากเชื้อสายพระราชบิดาของเรา

สดุดี 35:7

เพราะพวกเขาซ่อนตาข่ายดักข้าพระองค์โดยไร้เหตุผล (חִנָּם) เขาขุดหลุมพรางเอาชีวิตข้าพระองค์โดยไร้เหตุผล (חִנָּם)

สดุดี 69:4

คนที่เกลียดชังข้าพระองค์อย่างไร้เหตุผล (חִנָּם) มีมากยิ่งกว่าเส้นผมบนศีรษะข้าพระองค์คนที่ทำลายข้าพระองค์ก็มากมายคือพวกศัตรูผู้ใส่ร้ายข้าพระองค์บัดนี้ข้าพระองค์จะต้องส่งคืนสิ่งที่ข้าพระองค์มิได้ขโมยไปหรือ?เพลง

สดุดี 109:3

พวกเขาล้อมข้าพระองค์ไว้ด้วยถ้อยคำเกลียดชังและโจมตีข้าพระองค์โดยไร้เหตุผล (חִנָּם)

เย‌เร‌มีย์ 22:13

“วิบัติแก่เขาผู้สร้างวังของตนด้วยความไม่ชอบธรรมและสร้างห้องชั้นบนไว้ด้วยความไม่ยุติธรรมผู้ทำให้เพื่อนบ้านของเขาปรนนิบัติเขาโดยไม่ได้อะไรเลย (חִנָּם) และไม่ได้จ่ายค่าจ้างให้แก่เขา

 

การใช้ חִנָּם ในพระธรรมโยบ

ในแง่จำนวน ถึงแม้พระธรรมโยบปรากฏคำนี้เพียง 4 ครั้ง[4] แต่ความสำคัญของคำนี้อยู่ในบุคคลที่เลือกใช้คำนี้ คือในคำท้าทายของซาตาน ในโยบ 1:9 และคำตอบสนองของพระยาห์เวห์ ในโยบ 2:3 รวมถึงบทสนทนาระหว่างโยบกับเพื่อน โดยเนื้อหาส่วนนี้จะวิเคราะห์การใช้คำนี้ในบริบทดังกล่าว

โยบ 1:9

וַיַּ֧עַן הַשָּׂטָ֛ן אֶת־יְהֹוָ֖ה

 וַיֹּאמַ֑ר הַ֣חִנָּ֔ם יָרֵ֥א אִיּ֖וֹב אֱלֹהִֽים:

แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์

ว่า “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ (חִנָּם) หรือ?

หลังจากที่พระยาห์เวห์กล่าวถึงคุณลักษณะภายในของโยบ ซาตาน[5] (ผู้กล่าวโทษ) ได้ตั้งคำถามต่อความอุทิศตนของโยบที่มีต่อพระเจ้า โดยใช้คำ חִנָּם (ฆินนาม) ในเชิงรูปธรรมแง่เศรษฐศาสตร์ “ปราศจากผลตอบแทน” เพื่อกระทู้ถามเกี่ยวกับความสัตย์จริงในความสัมพันธ์ที่โยบมีต่อพระเจ้าว่าอยู่บนพื้นฐานของการตอบแทนเชิงธุรกรรม หรือการแลกเปลี่ยนเท่านั้น

โยบ 2:3

וַיֹּ֨אמֶר יְהֹוָה֜ אֶל־הַשָּׂטָ֗ן הֲשַׂ֣מְתָּ לִבְּךָ֘ אֶל־עַבְדִּ֣י אִיּוֹב֒ כִּי֩ אֵ֨ין כָּמֹה֜וּ בָּאָ֗רֶץ אִ֣ישׁ תָּ֧ם וְיָשָׁ֛ר יְרֵ֥א אֱלֹהִ֖ים וְסָ֣ר מֵרָ֑ע וְעֹדֶ֙נּוּ֙ מַֽחֲזִ֣יק בְּתֻמָּת֔וֹ וַתְּסִיתֵ֥נִי ב֖וֹ לְבַלְּע֥וֹ חִנָּֽם:

และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย? เขายังยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของเขาอยู่ ถึงแม้เจ้าชวนเราให้ต่อสู้กับเขา เพื่อทำลายเขาโดยไม่มีเหตุ (חִנָּם)”

คำตอบสนองของพระยาห์เวห์ต่อคำท้าทายของซาตานผู้กล่าวโทษเพื่อทดสอบความเชื่อของโยบเป็นการยืนยันมุมมองของพระองค์ต่อคุณลักษณะภายในของโยบ ว่า โยบยังยึดมั่นความซื่อสัตย์ (תֻּמָּה integrity) แม้เผชิญหายนะในชีวิต (ภายใต้การอนุญาตและการควบคุมของพระเจ้า) แม้ว่าซาตานท้าชวนให้ทำลายโยบ “โดยไม่มีเหตุ” (חִנָּם)

คำว่า חִנָּם (ฆินนาม) ถูกใช้ในลักษณะที่เปลี่ยนไปเป็นเชิงสาเหตุหรือผลลัพธ์ ฉบับภาษาไทย 2011 “ไม่มีเหตุ” สะท้อนการแปลคำนี้ในแง่สาเหตุของการท้าทาย คือ ท้าทายให้โยบถูกทำลายโดยปราศจากสาเหตุที่หนักแน่น แต่ในบริบทนี้ คำนี้อาจบ่งชี้การไม่เป็นผลของการทดสอบมากกว่า กล่าวคือ การซาตานท้าทายพระเจ้านั้นไม่เป็นผล เพราะโยบยังคงรักษาความซื่อสัตย์ในความเชื่อ

โยบ 9:17

אֲשֶׁר־בִּשְׂעָרָ֥ה יְשׁוּפֵ֑נִי

וְהִרְבָּ֖ה פְצָעַ֣י חִנָּֽם:

เพราะพระองค์ทรงขยี้ข้าด้วยพายุ

และทรงเพิ่มบาดแผลแก่ข้าโดยไม่มีเหตุ (חִנָּם)”

โยบตัดพ้อด้วยความสิ้นหวังหลังจากบิลดัดสรุปว่าพระเจ้ายุติธรรมและความทุกข์ของโยบมาจากการทำบาป โยบไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะฟังคำพิสูจน์ว่าตนไม่ผิดเพราะพระเจ้าเองในฐานะผู้พิพากษากำลังบดขยี้[6]โยบด้วยพายุ และเพิ่มบาดแผลของโยบอย่างไม่มีเหตุ  บิลดัดและเอลีฟัสโจมตีโยบบนพื้นฐานของกฎแห่งการกระทำว่าโยบทำบาปและคู่ควรการลงโทษที่ยุติธรรมของพระเจ้า ในขณะที่โยบมั่นใจว่าการดำเนินชีวิตของเขาไม่คู่ควรการลงโทษอย่างแสนสาหัสนี้ ในแง่นี้ חִנָּם (ฆินนาม) ของโยบสะท้อนความไม่ยุติธรรมของของกฎแห่งการกระทำที่ตนและเพื่อนยึดถืออยู่

โยบ 22:6

כִּֽי־תַחְבֹּ֣ל אַחֶ֣יךָ חִנָּ֑ם

וּבִגְדֵ֖י עֲרוּמִּ֣ים תַּפְשִֽׁיט:

เพราะท่านยึดของประกันจากพี่น้องโดยไม่ถูกต้อง (חִנָּם)

และริบเสื้อผ้าของคนที่เปลือยกาย

เอลีฟัสไม่เพียงกล่าวโทษว่าโยบยึดเสื้อผ้าของประกันจากคนขัดสน[vii] แต่ขยายด้วยว่าโยบยึดของประกันอย่างไม่ถูกต้อง (חִנָּם) แม้บริบทเป็นเชิงเศรษฐศาสตร์แต่เอลีฟัสใช้คำนี้ในแง่ศีลธรรม/จริยธรรม ที่สะท้อนว่าโยบเป็นคนชั่ว โลภ ไร้ความเมตตาปราณี คู่ควรกับการลงโทษจากพระเจ้า

สรุปพัฒนาการของการใช้คำ חִנָּם ในพระคัมภีร์เดิม 

คำว่า חִנָּם (ฆินนาม) ถูกใช้ในหมวดเบญจบรรณเชิงรูปธรรม ในความหมายทางเศรษฐศาสตร์ (การแลกเปลี่ยน ผลตอบแทน) แต่ถูกใช้ด้วยความหมายขยาย คือแง่ศีลธรรมและความยุติธรรมในหมวดประวัติศาสตร์ หมวดกวีนิพนธ์ และหมวดผู้เผยพระวจนะ

ในพระธรรมโยบ חִנָּם (ฆินนาม) ถูกใช้โดยซาตาน ผู้กล่าวโทษ ในแง่เศรษฐศาสตร์ คือ การยำเกรงพระเจ้าของโยบ (และของมนุษย์) เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนเพื่อได้รับผลตอบแทน ซึ่งเป็นกรอบความเชื่อศาสนศาสตร์ผลสนอง[8] (retributive theology) การใช้ลักษณะนี้ถูกตอกย้ำโดยโยบในแง่ความทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คู่ควรแก่ผู้ชอบธรรม (9:17) และโดยเอลีฟัสว่าโยบกดขี่คนขัดสนอย่างไม่ยุติธรรม (22:6) บนพื้นฐานของศาสนศาสตร์ผลสนองเช่นเดียวกัน ซึ่งต่างจากพระยาห์เวห์ที่ใช้คำนี้ในความหมายแง่ผลลัพธ์แห่งการทดสอบที่สะท้อนความสัตย์จริงในความสัมพันธ์ที่โยบที่มีต่อพระเจ้า

 

חִנָּם กับคำท้าทายความสัมพันธ์ที่สัตย์จริงต่อพระเจ้า

คำฮีบรู חִנָּם มีบทบาทสำคัญในคำถามเชิงศาสนศาสตร์ของพระธรรมโยบ ว่า ความสัมพันธ์ที่สัตย์จริงต่อพระเจ้าโดยไม่ขึ้นอยู่กับผลตอบแทน/ธุรกรรมแลกเปลี่ยน มีจริงหรือไม่

חִנָּם ของซาตานและนัยเชิงศาสนศาสตร์

ลักษณะของคำท้าทายของซาตานผู้กล่าวโทษ 

คำถามของซาตาน “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ?” ไม่เพียงแต่เป็นคำถามเกี่ยวกับแรงจูงใจของโยบในการอุทิศตนต่อพระเจ้า แต่สร้างการท้าทายในระดับรากฐานเกี่ยวกับลักษณะความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อพระเจ้า อีกแง่หนึ่ง คำถามนี้โจมตีพระประสงค์ดั้งเดิมของการทรงสร้างมนุษย์และความพยายามให้มนุษย์มีความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับพระองค์ คำถามลอยของซาตานที่กล่าวหาว่าการอุทิศตนต่อพระเจ้าของโยบเป็นเพียงธุรกรรมนั้นไม่เพียงเป็นการโจมตีแรงจูงใจของมนุษย์ แต่เป็นการโจมตีเป้าหมายการสร้างมนุษย์เพื่อความสัมพันธ์กับพระองค์ รวมถึงนโยบายที่พระเจ้าใช้ในการรักษาความสัมพันธ์กับมนุษย์

นัยเชิงศาสนศาสตร์ของคำท้าทายของซาตานผู้กล่าวโทษ

ปัญหาเรื่องแรงจูงใจ 

คำถามของซาตาน “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ?” บอกเป็นนัยว่า เป้าหมายของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์เพื่อความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่แท้จริงนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะแรงจูงใจของมนุษย์ในความสัมพันธ์กับพระเจ้านั้นมาจากผลประโยชน์ที่คาดหวังจากพระเจ้าเท่านั้น ไม่ได้มาจากความรัก ยำเกรงพระเจ้าอย่างจริงใจ การท้าทายนี้ลดทอนการนมัสการและการเชื่อวางใจในพระเจ้าเหลือเพียงธุรกรรมทางเศรษฐศาสตร์โดยที่ “การอุทิศตน” เป็นดัง “เงินตรา” แลกเปลี่ยนกับพระพรจากพระองค์

ปัญหาเรื่องธรรมชาติมนุษย์ 

การท้าทายนี้เปิดเผยมุมมองเชิงลบของซาตานที่มีต่อมนุษย์ที่สะท้อนว่าแรงจูงใจในการอุทิศตนต่อพระเจ้านั้นมาจากความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แทนที่จะเป็นมาจากความรักและความยำเกรงที่แท้จริง การกล่าวโทษนี้ไปเกินกว่าคำถามที่มีเกี่ยวกับท่าทีของโยบ แต่กลายเป็นคำประกาศเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์โดยรวมด้วย ในแง่นี้ความสัมพันธ์แท้ที่มาจากความรัก ความจริงใจ โดยปราศจากผลประโยชน์นั้น ไม่มีจริง

ปัญหาเรื่องการนมัสการแท้

การที่ซาตานตีกรอบการอุทิศตนของโยบต่อพระเจ้าว่าเป็นเพียงการตอบสนองต่อการอวยพรของพระเจ้านั้นสะท้อนว่า การนมัสการแท้ที่มาจากความสัมพันธ์แท้และจากความจริงใจนั้นเป็นไปไม่ได้ การนมัสการของมนุษย์เป็นเพียงการกระทำแลกเปลี่ยนต่อสิ่งดีที่พระเจ้าทำเพื่อคนหนึ่ง ข้อบ่งชี้นี้โจมตีพระประสงค์ของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์เพื่อความสัมพันธ์ที่แท้จริงจากมนุษย์ที่เลือกและตัดสินใจที่จะรักและนมัสการพระเจ้า เพราะพระเจ้าคู่ควรการนมัสการและการอุทิศตนจากพระฉายของพระองค์

חִנָּם ของพระเจ้า: การอนุญาตที่มาจากความมั่นใจ 

นัยของการอนุญาตของพระเจ้า 

ผู้อ่านโยบมักมีคำถามว่าทำไมพระเจ้าจึงเต็มใจอนุญาตให้โยบถูกทดสอบแทนที่จะปฏิเสธคำกล่าวหาของซาตานผู้กล่าวโทษ หรือแม้แต่ความคิดที่ว่า พระเจ้าต้องการโอ้อวดโยบจนเลยเถิดไปถึงการพนันขันต่อที่นำมาซึ่งหายนะในครอบครัวโยบ หากมองอีกแง่หนึ่ง การอนุญาตนี้มาจากความมั่นใจของพระเจ้า ไม่เพียงต่อความรักยำเกรงของโยบ แต่รวมถึงความเป็นไปได้ของการมีความสัมพันธ์แท้ที่จริงใจจากมนุษย์ สังเกตคำตรัสของพระเจ้าใน 2:3 “เขายังยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของเขาอยู่ ถึงแม้เจ้าชวนเราให้ต่อสู้กับเขา เพื่อทำลายเขาโดยไม่มีเหตุ (חִנָּם)” ในแง่นี้ ความสัตย์จริงในความสัมพันธ์ไม่ขึ้นอยู่กับการอวยพร และเป็นจริงได้

ราคาและเป้าหมายของการทดสอบ 

การอนุญาตของพระเจ้ามีราคาแพง โดยต้องแลกด้วยชีวิตลูกทั้งสิบคนของโยบ ฝูงสัตว์ ทรัพย์สิน รวมถึงร่างกายของโยบเอง สิ่งเหล่านี้เป็นเป้าโจมตีและเป็นเงื่อนไข (ข้อแลกเปลี่ยน) แห่งการอุทิศของโยบตามการกล่าวโทษของซาตาน

“พระองค์ไม่ได้ทรงกั้นรั้วรอบตัวเขา ครอบครัวของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ? พระองค์ได้ทรงอวยพรงานที่มือเขาทำ และฝูงปศุสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน11แต่ขอยื่นพระหัตถ์แตะต้องสิ่งของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์” (โยบ 1:10-11)

            การยอมให้โยบสูญเสียสิ่งทุกที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพื้นฐานความสัมพันธ์แบบแลกเปลี่ยนมีวัตถุประสงค์ชัดเจน เพราะพิสูจน์ว่าคำกล่าวหาของซาตานนั้นไม่เป็นจริง ในขณะเดียวกันพิสูจน์ว่า ความสัมพันธ์แท้ที่ไม่เกี่ยวกับส่วนได้ส่วนเสียจากมนุษย์เป็นจริงได้ แม้ปราศจาก “เงื่อนไข” ดังกล่าว

 

หลักฐานแห่งความสัมพันธ์ที่สัตย์จริง

การยืนหยัดในความเชื่อและความสัมพันธ์ที่จริงใจของโยบต่อพระเจ้าในท่ามกลางหายนะที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า มนุษย์สามารถรักและยำเกรงพระเจ้าได้ “เปล่าๆ” สังเกตการใช้คำว่า תֻּמָּה (ซื่อสัตย์ สัตย์จริง) ที่สะท้อนความสัตย์จริงของจิตใจโยบ ในคำตรัสพระยาห์เวห์ คำกล่าวของภรรยา และในคำกล่าวของโยบเอง

โยบ 2:3

… เขายังยึดมั่นในความซื่อสัตย์ (תֻּמָּה) ของเขาอยู่ ถึงแม้เจ้าชวนเราให้ต่อสู้กับเขา เพื่อทำลายเขาโดยไม่มีเหตุ”

โยบ 2:9

แล้วภรรยาท่านกล่าวกับท่านว่า “เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์ (תֻּמָּה) อยู่อีกหรือ? จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ”

โยบ 27:5

เมินเสียเถิดที่ข้าจะพูดว่าพวกท่านชอบธรรมข้าจะไม่ยอมทิ้งความซื่อสัตย์ (תֻּמָּה) ของข้าจนวันตาย

โยบ 31:6

ก็ขอให้เอาข้าชั่งบนตราชูยุติธรรมเพื่อพระเจ้าจะทรงทราบความซื่อสัตย์ (תֻּמָּה) ของข้า

 

ความสัตย์จริงในความสัมพันธ์ของโยบที่มีต่อพระเจ้าเป็นที่ประจักษ์ทั้งต่อพระเจ้าและต่อคนใกล้ชิดโยบ แม้ในท่ามกลางความทุกข์และความไม่เข้าใจ โยบประกาศ “แม้พระองค์ทรงประหารข้า ข้าจะยังรอคอย[9]พระองค์” (13:15) คำประกาศนี้เป็นตัวอย่างความยำเกรงพระเจ้าที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานพระพรที่ได้รับตามที่ซาตานกล่าวอ้างแม้ขณะนั้นโยบยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน นอกจากนี้การที่โยบปฏิเสธคำแนะนำของเพื่อนให้ยอมรับผิดเพื่อการรื้อฟื้นทั้งที่ขัดแย้งกับความเป็นจริง และการที่โยบตั้งคำถามต่อพระเจ้าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นสะท้อนว่าโยบมีความสัมพันธ์ภายในกับพระเจ้าอย่างสัตย์จริง ไม่ใช่เพียงแต่ความสัมพันธ์ภายนอกที่เป็นการแสดงออกเท่านั้น

 

חִנָּם กับการวิเคราะห์เชิงศาสนศาสตร์

คำใช้คำว่า חִנָּם ในพระธรรมโยบเปิดโปงข้อจำกัดของศาสนศาสตร์แห่งการตอบแทนในโลกโบราณ ขณะเดียวกันชี้ให้เห็นความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนในการเคลื่อนตัวทางความคิดในพระธรรมโยบอย่างน้อยสามจุด ดังนี้

 

กรอบตายตัวของศาสนศาสตร์แห่งการตอบแทน

ศาสนศาสตร์แห่งการตอบแทน เห็นชัดในคำกล่าวของเพื่อนๆทั้งสามของโยบที่ตั้งสมมติฐานว่า การกระทำของมนุษย์ (ไม่ว่าดีหรือชั่ว) มีการเชื่อมโยงโดยตรงกับการตอบสนองของพระเจ้า (ไม่ว่าเป็นการอวยพรหรือการลงโทษ) กรอบความคิดนี้ชี้นำสู่ความเชื่อที่ว่า ชีวิตที่ชอบธรรมจะนำไปสู่การอวยพร และชีวิตที่อธรรมจะนำไปสู่การแช่งสาปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม กรอบความคิดนี้ไม่สามารถตอบความย้อนแย้งในประสบการณ์โยบได้ เพราะโยบเองมั่นใจว่าตนไม่ได้ดำเนินชีวิตในความอธรรมที่คู่ควรการลงโทษจากพระเจ้า และพระเจ้าเองประกาศถึงสองครั้งว่าโยบเป็นคนชอบธรรม (1:8; 2:3)

เอลีฟัส บิลดัด และโศฟาร์ พยายามปกป้องกรอบศาสนศาสตร์แห่งกรรมสนองนี้ตลอดบทสนทนาทั้งสามรอบ (บทที่ 4-26) เพื่อยืนยันว่า กรอบคิดนี้ไม่ผิดพลาด พระเจ้าก็ไม่ผิดพลาด คนที่ผิดพลาดคือโยบ ด้วยเหตุนี้ ความทุกข์ของโยบจึงเป็นสิ่งที่สมควร ข้อโต้แย้งของเพื่อนทั้งสามสะท้อนให้เห็นถึงระบบความคิดที่ลดทอนความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ให้เหลือเพียงกลไกเชิงพฤติกรรมเพื่อให้ได้ผลพึงปรารถนา

คำตอบของพระเจ้าใน 2:3 โยบเผชิญการทดสอบ חִנָּם “โดยไม่มีเหตุ” (ฉบับ 2011) ขัดแย้งอย่างชัดเจนกับกรอบศาสนศาสตร์ผลสนองที่ตายตัว ประสบการณ์ของโยบพิสูจน์ว่า คุณลักษณะฝ่ายวิญญาณ (ความชอบธรรม) กับผลสืบเนื่อง (พระพร) นั้นไม่ได้มีการเชื่อมโยงอย่างเป็นกลไกตายตัวและคาดการณ์ได้เสมอไป พระธรรมโยบเปิดเผยให้ผู้อ่านได้เห็นว่า มีปัจจัยอื่นที่อยู่เบื้องหลังความทุกข์ของมนุษย์นอกเหนือกฎแห่งการกระทำที่เพื่อนๆของโยบยึดถือ

การท้าทายต่อกรอบความเชื่อเชิงเศรษฐศาสตร์

การทนทุกข์ “โดยไม่มีเหตุ” ของโยบเปิดเผยให้เห็นว่าการกระทำของพระเจ้าไม่สามารถถูกลดทอนลงให้เป็นเพียงการตอบสนองต่อการกระทำของมนุษย์ตามกฎแห่งสาเหตุ-ผลลัพธ์ เพราะพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ากฎที่มนุษย์ประมวลไว้เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ต่างๆในชีวิต

ประสบการณ์ของโยบสะท้อนให้เห็นถึง ความไม่สามารถของมนุษย์ในการตีกรอบการกระทำของพระเจ้าให้อยู่ในระบบคิดของมนุษย์ ความล้มเหลวของเพื่อนในการอธิบายสาเหตุแห่งทุกข์ของโยบสำแดงความจริงว่า ทางของพระเจ้านั้นสูงกว่าทางของมนุษย์[10] ในที่นี้ ทางของพระเจ้าเหนือกว่าศาสนศาสตร์การตอบแทนที่มนุษย์ตีกรอบไว้

ความท้าทายนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของกรอบคิดใหม่ในการเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ที่เกินกว่าการแลกเปลี่ยนการกระทำ ซึ่งควรเป็นความสัมพันธ์กับพระเจ้าแบบ חִנָּם (ฆินนาม) “เปล่าๆ” ในแง่นี้ ซึ่งต้องการกรอบคิดใหม่ที่เอื้อต่อความเข้าใจความสัมพันธ์ลักษณะนี้

พระคุณพระเจ้า “เปล่าๆ” และความสัมพันธ์แบบ חִנָּם (ฆินนาม)  

การตอบสนองของพระยาห์เวห์ในบทที่ 38-41 ตีกรอบคิดเกี่ยวกับ חִנָּם (ฆินนาม) ใหม่แก่โยบผ่านคำถามที่ขยายความคิดของโยบเกี่ยวกับระบบหรือวิธีการครอบครองโลกนี้ของพระเจ้า เริ่มตั้งแต่การพาโยบพิจารณาเกี่ยวกับการทรงสร้างระบบฟ้าและจักรวาลที่ดูเหมือนไกลตัวมนุษย์ แต่พระเจ้าสร้างและควบคุมสรรพสิ่งอย่างเกินความเข้าใจมนุษย์ (38:1-38) โดยเฉพาะคำถามในข้อ 33 “เจ้ารู้กฎของฟ้าสวรรค์หรือ? เจ้าตั้งกฎของมันบนแผ่นดินโลกได้หรือ?” ที่ท้าทายความพยายามอธิบายการกระทำของพระเจ้าด้วยกฎของมนุษย์

สิ่งที่พระเจ้ากระทำในสิ่งทรงสร้างฟ้าและจักรวาลก่อนการทรงสร้างมนุษย์[11] เป็นหลักฐานของการดูแลเอาใจใส่สิ่งทรงสร้างแบบ “เปล่าๆ” โดยไม่ขึ้นกับคุณความดีของมนุษย์ และไม่สามารถอธิบายตามระบบความเข้าใจที่จำกัดของมนุษย์ เช่น พระเจ้าประทานฝนแก่แผ่นดินที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ (38:26-27) การเฝ้าดูแลเอาใจใส่เลียงผาตกลูก (39:1-4) การออกแบบพฤติกรรมสัตว์ที่ดูโง่เขลา (39:13-18) สิ่งเหล่านี้ท้าทายโยบด้วยกรอบคิดใหม่ที่การกระทำของพระเจ้าอยู่เหนือความดี-ความชั่วของมนุษย์ ในแง่นี้ การทรงสร้างที่แสนดีของพระเจ้าไม่ขึ้นอยู่กับคุณความดีของมนุษย์ พระองค์ล้วนประทานสิ่งทรงสร้างแก่มนุษย์แบบ “เปล่าๆ”

คำตรัสของพระยาห์เวห์นำโยบพบกรอบความคิดใหม่คือ “พระคุณ” การกระทำของพระเจ้าที่เกินกว่ากรอบคิดตายตัวของมนุษย์ ภายหลังโยบตอบพระเจ้า “เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงกล่าวถึงสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ สิ่งที่ประหลาดเกินกว่าข้าพระองค์จะทราบ” (42:3) โยบรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ด้วยกรอบคิดใหม่ที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระเจ้าว่าเป็นแบบ “เปล่าๆ” ไม่ขึ้นกับการแลกเปลี่ยน หรือผลประโยชน์ที่คาดหวัง[12]

חִנָּם (ฆินนาม) กับการสังเคราะห์เชิงศาสนศาสตร์ 

การปรับแนวคิดใหม่เกี่ยวกับการดูแลเอาใจใส่ของพระเจ้าแบบ “เปล่าๆ” เป็นรากฐานการเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับการตอบสนองของมนุษย์ในมิติใหม่ การเข้าใจพระลักษณะแห่งใจกว้างขวาง ความรัก การเอาใจใส่ดูแล และพระคุณของพระเจ้า ช่วยให้มนุษย์สามารถดำเนินในความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับพระองค์โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์เชิงเศรษฐศาสตร์เป็นการตอบแทน

พระธรรมโยบจึงพาผู้อ่านเคลื่อนจาก ความสัมพันธ์กับพระเจ้าบนพื้นฐานผลประโยชน์และศาสนศาสตร์การตอบแทน สู่การวางรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าใหม่ที่จริงใจ สัตย์จริง บนพื้นฐานของความรักและพระคุณ

            พัฒนาทางศาสนศาสตร์ของคำว่า חִנָּם (ฆินนาม) “เปล่าๆ” ในพระธรรมโยบเปลี่ยนแปลงแนวคิดจากคำกล่าวหาความสัมพันธ์เชิงเศรษฐศาสตร์ (“เปล่าๆ”) สู่มิติใหม่ของความสัมพันธ์ที่สัตย์จริงกับพระเจ้า (“เปล่าๆ” แง่การเข้าใจพระคุณ) แทนที่การแลกเปลี่ยน และมิติใหม่ของการเข้าใจการอวยพรว่าเป็นของขวัญ แทนที่เป็นตู้กดสินค้าที่พระเจ้าจำเป็นต้องอวยพรหากเราป้อนการทำดีเข้าในระบบ

แบบอย่างความสัมพันธ์ที่สัตย์จริงอย่างสมบูรณ์

ความสัมพันธ์ที่สัตย์จริงระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเป็นจริงในโยบและสำแดงอย่างสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ ในขณะที่โยบรักษาความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าถึงแม้สูญเสียพระพรฝ่ายวัตถุ การปฏิเสธทางสังคม และการเข้าใกล้ความตาย พระเยซูคริสต์เต็มใจในการสละสภาวะความเป็นพระเจ้าเพื่อลงมาเป็นมนุษย์และเข้าส่วนในชีวิตแห่งความทุกข์อันเป็นผลแห่งความบาป กระทั่งความมรณาที่กางเขน (ฟีลิปปี 2:6-8) พระองค์อุทิศชีวิตในความสัมพันธ์ที่สัตย์จริงอย่างสมบูรณ์ต่อพระบิดาแม้ในขณะที่พระองค์เผชิญหน้ากับการถูกปฏิเสธโดยฝูงชนและการถูกตรึงบนกางเขน คำอธิษฐานบนกางเขนต่อพระบิดาในมัทธิว 27:46[13] และในลูกา 23:46[14] ยืนยันความสัตย์จริงและความสัมพันธ์แบบ “เปล่าๆ” ของพระองค์

คำท้าทายเชิงศาสนศาสตร์ถูกพิสูจน์ไม่ใช่ด้วยการโต้แย้งเชิงทฤษฏี แต่โดยการสำแดงออกในชีวิตจริง เริ่มต้นที่โยบยืนหยัดในความสัตย์จริงท่ามกลางความทุกข์ และสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ที่เต็มใจยอมสละตัวตนของพระองค์เองเพื่อแผนการทรงไถ่แห่งพระคุณของพระบิดา แบบอย่างความสัมพันธ์ที่สัตย์จริงนี้ปัดคำกล่าวหาของซาตานให้ไม่เป็นผลและยืนยันความมั่นใจในพระประสงค์ดั้งเดิมของการทรงสร้างมนุษย์เพื่อความสัมพันธ์ที่แท้จริง ซึ่งถึงแม้เสื่อมไปเพราะผลแห่งความบาป แต่สามารถเป็นจริงได้ผ่านความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ผู้นำมนุษยชาติกลับคืนสู่ความสัมพันธ์แห่งความรักแบบ “เปล่าๆ” กับพระบิดาอีกครั้งหนึ่ง

 

חִנָּם กับพระกิตติคุณแห่งความมั่งคั่งในปัจจุบัน 

นัยเชิงศาสนศาสตร์ของคำว่า חִנָּם ในพระธรรมโยบ คล้ายคลึงกับคำสอนพระกิตติคุณแห่งความมั่งคั่งที่แพร่หลายในปัจจุบัน เนื้อหาส่วนนี้นำเสนอประสบการณ์แห่งความสัตย์จริงของโยบว่าท้าทายคำสอนหลักที่เน้นความสำเร็จและสุขภาพดีอย่างไร

สมมติฐานของพระกิตติคุณแห่งความมั่งคั่ง 

การเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างความเชื่อกับการอวยพร 

ศาสนศาสตร์ผลสนองในโยบกับพระกิตติคุณแห่งความมั่งคั่งคล้ายกันในกรอบคิดแบบ สาเหตุ-ผลลัพธ์[15] ที่คุณลักษณะภายในกับความสำเร็จภายนอกมีความเชื่อมโยงโดยตรง[16] สิ่งที่ต่างกันคือ ศาสนศาสตร์ผลสนองในโยบเน้นศีลธรรมที่แสดงออก ในขณะที่พระกิตติคุณแห่งความมั่งคั่งเน้นที่การกระทำแห่งความเชื่อโดยเฉพาะการถวายทรัพย์ การอธิษฐานไม่หยุดหย่อน หรืออดอาหารอธิษฐาน สิ่งที่เหมือนกันคือ ทั้งสองแนวเชื่อในการตอบสนองของพระเจ้าตามกรอบตายตัว แน่นอน และคาดการณ์ได้ การที่โยบทนทุกข์ “เปล่าๆ” จึงท้าทายความเชื่อที่เป็นสูตรตายตัวที่พระเจ้าตอบสนองภายใต้กรอบความเชื่อนี้

ความเชื่อเชิงธุรกรรม (แลกเปลี่ยน) 

ศาสนศาสตร์ผลสนองในโยบกับพระกิตติคุณแห่งความมั่งคั่งคล้ายกันในแง่ความเชื่อเชิงธุรกรรม หรือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างการอุทิศตนของมนุษย์กับการอวยพรของพระเจ้า เห็นได้ชัดจากคำแนะนำของเอลีฟัสให้โยบยอมสารภาพผิด (ทั้งที่โยบไม่ได้ทำ) เพื่อชีวิตจะได้รับ “สิ่งดี” (22:21)[17] “การซ่อมแซม” (22:23) หากโยบทำตามสูตรนี้ เอลีฟัสสรุป “ท่านตัดสินใจจะทำสิ่งใด สิ่งนั้นจะสำเร็จสมประสงค์” (22:28) เช่นเดียวกับคำสอนในปัจจุบันเรื่อง “เมล็ดแห่งความเชื่อ” (seed faith) ที่การถวายทรัพย์เพื่อได้รับเงินทองที่มากกว่าหลายเท่าเป็นการแลกเปลี่ยน ความเชื่อเชิงธุรกรรมลดทอนคุณค่าของความสัมพันธ์ที่แท้จริงให้เหลือเพียงการแลกเปลี่ยนเชิงเศรษฐศาสตร์ ซึ่งตอกย้ำคำกล่าวโทษของซาตานว่าเป็นจริง คือไม่มีใครรักและยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ ทุกคนล้วนสนใจเพียงผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับจากพระเจ้าทั้งสิ้น พระธรรมโยบท้าทายและเรียกร้องผู้เชื่อกลับสู่ความเชื่อที่แท้จริงแบบ “เปล่าๆ”

การเรียกร้องพระสัญญาผิดๆ 

ศาสนศาสตร์ผลสนองในโยบกับพระกิตติคุณแห่งความมั่งคั่งคล้ายกันในการตีความหมายข้อพระคัมภีร์ เช่นการอ้างหลักการทั่วไปเป็นกฎตายตัว อ้างข้อพระคัมภีร์นอกบริบท หรือแม้แต่เหมารวมพระสัญญาในพระคัมภีร์เดิมเป็นพระสัญญาส่วนบุคคลที่ผู้เชื่อสามารถเรียกร้องได้ (name it, claim it) นอกจากนี้ยังตีความ “พระพร” โดยเน้นในแง่วัตถุ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ความสำเร็จ และสุขภาพดี การตีความเช่นนี้นำไปสู่ความเชื่อแบบผิวเผิน ความสัมพันธ์แบบความต้องการของมนุษย์เป็นศูนย์กลาง พระเจ้าเปรียบเป็นตู้กดเงินอัตโนมัติ หากเราใส่รหัสที่ถูกต้อง เงินก็จะออกมา การเรียกร้องพระสัญญาลักษณะนี้เป็นการเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ผิดไป และเป็นการบิดเบือนพระลักษณะของพระเจ้า

 

ข้อแนะนำสำหรับผู้เชื่อในปัจจุบัน

ตรวจสอบความสัตย์จริงในความสัมพันธ์กับพระเจ้า

คำท้าทายของซาตานผู้กล่าวโทษ เป็นคำท้าทายต่อผู้เชื่อในปัจจุบัน “ไม่มีหรอก ที่ใครจะรักและยำเกรงพระเจ้า เปล่าๆ” “แต่ละคนล้วนสนใจแค่การอวยพร ความปลอดภัย และสุขภาพดีเท่านั้น” พระธรรมโยบจึงเชื้อเชิญผู้เชื่อในการตรวจสอบท่าทีภายในว่าความรักและการอุทิศตนในพระเจ้านั้นมาจากแรงจูงใจเชิงเศรษฐศาสตร์ (ผลประโยชน์แลกเปลี่ยน) หรือเป็นความสัมพันธ์ที่สัตย์จริงบนพื้นฐาน ความรัก ใจกว้างขวาง และพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ โดยเฉพาะความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สำแดงต่อมนุษย์ขณะที่มนุษย์ไม่คู่ควร พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อรับผลแห่งบาปแทนเรา[18]

นิยามความสำเร็จในมิติใหม่ 

พระธรรมโยบท้าทายผู้เชื่อให้นิยามความสำเร็จใหม่ตามพระคัมภีร์ไม่ใช่ตามความต้องการฝ่ายวัตถุ การอุทิศตนกับพระเจ้าเป็นความสัมพันธ์แท้ที่เกินกว่าการอวยพรตามสถานการณ์ชีวิต ในขณะเดียวกันท้าทายให้มองความทุกข์ในมุมมองใหม่ กล่าวคือ ความทุกข์ลำบากในชีวิต ไม่ได้เป็นผลโดยตรงหรือการลงโทษจากพระเจ้าเท่านั้น ยังมีปัจจัยซับซ้อนในชีวิตภายใต้การครอบครองและพระปัญญาของพระเจ้า[19]

หากซาตานถามคำถามเดียวกัน เราจะตอบเช่นไร คำตอบที่ล้มล้างข้อกล่าวหาของซาตานคือ “ใช่ ฉันรักและยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ”[20] ความสำเร็จที่แท้จริงในมุมมองของผู้เชื่อ คือการมีความสัมพันธ์ที่แท้จริง สัตย์ซื่อกับพระเจ้า ไม่ว่าสถานการณ์ชีวิตจะเป็นอย่างไรก็ตาม

พัฒนาความเชื่อที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ 

ในขณะที่เพื่อนๆโยบสนใจแต่ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น คือการได้รับการรื้อฟื้นสู่สภาพดี การเผชิญความทุกข์แบบ “เปล่าๆ” ของโยบ สะท้อนให้เห็นพัฒนาการทางความเชื่อและความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อพระเจ้า ซึ่งเป็นแบบอย่างการเติบโตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อในปัจจุบัน[21]

พระเจ้ารับฟังโยบที่ร้องทุกข์อย่างจริงใจต่อพระเจ้า แม้บางครั้งเป็นการพร่ำบ่นคร่ำครวญ สังเกตคำตรัสของพระเจ้าในตอนจบที่พระเจ้าตำหนิเพื่อนๆของโยบ “เจ้าทั้งหลายไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง” (42:7) วลี “พูดถึงเรา” แปลตามตัวอักษรได้ว่า “พูดต่อเรา”[22] หากเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนพระเจ้าให้ความสำคัญของการคร่ำครวญ ร้องทุกข์ ร้องทูล อธิษฐานวิงวอนที่จริงใจต่อพระเจ้า มากกว่าเพื่อนๆที่พูด “เกี่ยวกับ” พระเจ้า ไม่ใช่พูด “ต่อ” พระเจ้า[23] ความทุกข์สามารถเป็นสื่อกลางนำผู้เชื่อเข้าใกล้ชิดสนิทในความสัมพันธ์กับพระเจ้าในระดับลึกมากกว่าเดิม

สรุป

การศึกษาความสำคัญเชิงศาสนศาสตร์ของคำฮีบรู חִנָּם (ฆินนาม) “เปล่าๆ” ในพระธรรมโยบ เปิดเผยความจริงที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่สัตย์จริงระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ การวิเคราะห์คำช่วยให้เห็นความหมายพื้นฐานของคำที่ถูกใช้ในเชิงเศรษฐศาสตร์ในหมวดเบญจบรรณ (“ปราศจากการจ่าย”) และถูกประยุกต์ใช้ในเชิงศีลธรรมจริยธรรม (“ไม่มีเหตุ” “ไม่เป็นธรรม”) ในหมวดอื่นๆในพระคัมภีร์เดิม โดยเฉพาะพระธรรมโยบ ซาตานผู้กล่าวโทษใช้คำว่า חִנָּם (ฆินนาม) “เปล่าๆ” ในการกล่าวโทษแรงจูงใจของมนุษย์และนโยบายของพระเจ้าในการรักษาความสัมพันธ์กับมนุษย์

บทความนี้ยังสะท้อนให้เห็นนัยเชิงศาสนศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังคำท้าทายของซาตาน กรอบศาสนศาสตร์ผลสนองของเพื่อนๆโยบ ว่าเป็นการลดทอนความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับมนุษย์ให้เหลือเพียงกลไกการตอบแทนเชิงผลประโยชน์ ซึ่งเป็นการโจมตี นโยบายการรักษาความสัมพันธ์ของพระเจ้าต่อมนุษย์ว่าเป็นการใช้สินบน (พระพรฝ่ายวัตถุ การปกป้อง ความั่นคง) เพื่อแลกกับการอุทิศตน บทความนี้จบด้วยการเปรียบเทียบศาสนศาสตร์การตอบแทนของพระธรรมโยบ กับคำสอนของพระกิตติคุณแห่งความมั่งคั่งในปัจจุบันที่มีศูนย์กลางที่ความต้องการของตนเองโดยมีการอุทิศตนในความเชื่อเป็นเพียงสื่อกลาง

คำถามของซาตานผู้กล่าวโทษ “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆหรือ” ยังคงท้าทายผู้เชื่อในปัจจุบัน แง่แรงจูงใจในอุทิศตนและความสัมพันธ์ที่แท้จริงที่ไม่ขึ้นกับผลประโยชน์ตอบแทน “มีไหม คนที่รักและยำเกรงพระเจ้าแบบเปล่าๆ” มีแน่นอน นอกจากพระเยซูที่เป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์ โยบเป็นคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่คนเดียว ผู้เชื่อแต่ละคนที่รู้จักพระเจ้า เข้าใจพระคุณ ความรัก พระเมตตา ต้องตอบคำถามนี้เอง “ใช่ ฉัน/ผม รักและยำเกรงพระเจ้าแบบเปล่าๆ”

 


[1] การแปล חִנָּם  ดู Davis, Andrew R., and Tod Linafelt. “Translating חנם in Job 1:9 and 2:3: On the Relationship between Job’s Piety and His Interiority.” Vetus Testamentum 63, no. 4 (2013): 627–39.

[2] Adverb ขยายกริยาว่าทำในลักษณะใด

[3] ข้อพระคัมภีร์ที่ใช้ในบทความนี้มาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับมาตรฐาน (2011) โดยสมคมพระคริสตธรรมไทย เว้นแต่มีการระบุฉบับอื่น

[4] โดยแบ่งออกเป็น 2 ครั้งในเรื่องเล่าตอนต้นเล่ม (1:9; 2:3) และ 2 ครั้งในบทกวีสนทนาตอนกลางเล่ม (9:17; 22:6)

[5] “ซาตาน” ภาษาฮีบรู הַשָּׂטָ֖ן (ฮัซซาทาน) จากกริยา ซ-ท-น “ต่อต้าน” มักถูกใช้ทับศัพท์ในฐานะชื่อคือ “ซาตาน” ในฉบับแปล NRSV, NIV แต่ในการศาสนศาสตร์พระคัมภีร์เดิม คำนี้ถูกใช้ในแง่บทบาทคือ “ผู้ต่อต้าน” ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งมนุษย์หรือทูตสวรรค์ เช่นใน กันดารวิถี 22:22 ทูตสวรรค์ยืนบนทางเพื่อต่อต้านบาลาอัมและลา รวมถึงทูตสวรรค์ที่ทำหน้าที่ “ต่อต้าน” หรือ “กล่าวโทษ” ต่อหน้าพระเจ้าในสวรรค์ (เศคาริยาห์ 3:1 และในโยบ 1-2) คำนี้ถูกใช้ในฐานะชื่อเฉพาะในช่วงปลายพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู (รวมถึงการใช้ในพระคัมภีร์ใหม่ในฐานะชื่อของหัวหน้ามาร วิวรณ์12:9) โดยเห็นได้ชัดจากเหตุการณ์เดียวกันที่ถูกบรรยายใน 2 ช่วงสมัย กล่าวคือ ใน 2 ซา‌มู‌เอล 24:1 “พระพิโรธของพระยาห์เวห์เกิดขึ้นต่ออิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง จึงทรงเร้าใจดาวิดต่อสู้พวกเขา ตรัสว่า “จงไปนับคนอิสราเอลและคนยูดาห์” ในขณะที่ 1 พง‌ศาว‌ดาร 21:1 ระบุว่า “ซาตานยืนขึ้นต่อสู้อิสราเอล และดลใจให้ดาวิดนับจำนวนอิสราเอล”

คำนี้ในโยบใช้ร่วมกับคำนำหน้านาม “the” จึงน่าจะเล็งถึงบทบาทในการต่อต้าน คัดค้าน มากกว่าการใช้ในฐานะชื่อ คือ “ซาตาน” NLT แปลทั้งสองอย่างคือ the Accuser, Satan โดยบทความนี้เลือกแปลตาม NLT คือ ซาตานผู้กล่าวโทษ ซึ่งในบางครั้งอาจใช้เพียง “ซาตาน” หรือ “ซาตานผู้กล่าวโทษ” ประเด็น “ซาตาน” ดู Day, Peggy Lynne. An Adversary in Heaven: Satan in the Hebrew Bible. Atlanta, Ga.: Scholars Press, 1988. บทความนี้ไม่เห็นด้วยกับ C. L. Seow ที่อ้างว่า ซาตานเป็นเพียงบุคคลสมมติ ทำหน้าที่เป็นเสียงสะท้อนจากพระเจ้าในความสงสัยความสัตย์จริงของมนุษย์ (Seow, C. L. Job. Grand Rapids: Eerdmans, 2012.)

[6] שׁוּף ชูฝ to bruise, crush

[7] เฉลยธรรมบัญญัติ 24:12-18 ห้ามการยึดเสื้อคลุมข้ามคืนของคนยากจนที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ เพราะพระเจ้าห่วงใยคนยากจน หากพระธรรมโยบถูกเขียนขึ้นก่อนเฉลยธรรมบัญญัติ การยึดเสื้อคลุมสะท้อนจิตใจที่ปราศจากความเมตตา หากพระธรรมโยบถูกเขียนขึ้นหลังหมวดพระบัญญัติ การยึดเสื้อคลุมอาจสะท้อนการละเมิดพันธสัญญาของพระเจ้า คล้ายกับในอาโมส 2:8 อิสราเอลเหยียบย่ำคนจน ยึดเสื้อคลุมข้ามคืน

[8] ในบทความนี้อาจใช้คำลักษณะเดียวกันเช่น “ศาสนศาสตร์การตอบแทน” “กฎแห่งการกระทำ” หรือ “ศาสนศาสตร์กรรมสนอง” (หรือ “ผลสนอง”) David Clines ให้คำนิยาม retribution ว่า “one is rewarded or punished in strict conformity with the moral quality of one’s deeds” (David J. A Clines, “Deconstructing the Book of Job,” in The Bible as Rhetoric: Studies in Biblical Persuasion and Credibility ed. Martin Warner, [London: Routledge, 1990], 60. ศาสนศาสตร์การตอบแทนในพระคัมภีร์เดิมเห็นได้ในคำอธิบายความสัมพันธ์ในพันธสัญญาที่อิสราเอลมีต่อพระเจ้า กล่าวคือ หากอิสราเอลเชื่อฟังจะได้รับพระพร หากไม่เชื่อฟังพระบัญญัติจะรับการสาปแช่ง (เฉลยธรรมบัญญัติ 28; อิสยาห์ 1:18-20) และสะท้อนในหลักการทั่วไปในวรรณกรรมภูมิปัญญา โดยเฉพาะในสุภาษิต (10:29; 14:12; 15:19; 16:25) แต่นี่ไม่ได้เป็นคำอธิบายทั้งหมดว่าพระเจ้าดำเนินการในโลกอย่างไร บางครั้งตามประสบการณ์ที่เห็น คนชั่วไม่ได้รับการลงโทษ คนดีทนทุกข์ (สดุดี 73) หรือแม้แต่ในหมวดพระบัญญัติและผู้เผยพระวจนะ อิสราเอลที่ดื้อรั้น ไม่ได้รับสิ่งที่คู่ควร บ่อยครั้งพระเจ้าสำแดงพระเมตตาเพื่อเรียกร้องอิสราเอลกลับใจ (33:19; Ps 103:10; Jer 1:17–19) ด้วยเหตุนี้ แม้พระเจ้าใช้วิธีการตอบแทนตามการกระทำเป็นส่วนหนึ่งของการปกครอง แต่นี่ไม่ใช่กฎตายตัวที่ควบคุมพระเจ้าในการตอบสนองการกระทำตามวิธีตามเวลาของกรอบนั้น

[9] การแปลข้อนี้ค่อนข้างยากเนื่องจากพระคัมภีร์เดิมตามธรรมเนียมการเขียน Kethiv ใช้คำว่า לֹא (no, not) หลายฉบับแปลว่า “ข้าไม่มีความหวัง” (2011) ในขณะที่ตามธรรมเนียมการพูด Qere ใช้คำว่า לוֹ (to him) บทความนี้แปลตามบริบทว่า “ข้าจะยังรอคอยพระองค์”

[10] อิสยาห์ 55:8-9

[11] คำถามของพระยาห์เวห์ ใน 38:4 “เจ้าอยู่ที่ไหน เมื่อเราวางรากฐานของแผ่นดินโลก?”

[12] นอกจากนี้ ตอนจบของโยบย้ำเตือนประเด็นการอวยพรของพระเจ้าที่ไม่ขึ้นกับคุณความดีของโยบ เช่น การอวยพรสองเท่า ที่ไม่ใช่การตอบแทนบนพื้นฐานของการกระทำของโยบ แต่มาจากพระทัยกว้างขวางและพระคุณของพระเจ้าที่เกินกว่าคุณความดีของมนุษย์ การรื้อฟื้นโยบจึงเป็นการอวยพรแห่ง “พระคุณ” ไม่ใช่การทำตามกลไกแห่งการตอบแทน

[13] มัทธิว 27:46 พอเวลาประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?”

[14] ลูกา 23:46 พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์

[15] ตัวอย่างที่ชัดเจนจากคำกล่าวของเอลีฟัสใน โยบ 4:8 “ตามที่ข้าได้เห็น บรรดาผู้ไถความบาปผิดและผู้หว่านความลำบากก็จะได้เกี่ยวสิ่งนั้น”

[16] กล่าวคือ ความเชื่อหรือการแสวงหาพระเจ้าจะนำไปสู่การอวยพรความปลอดภัย หรือความสำเร็จเสมอ ในทางกลับกัน การไม่แสวงหาพระเจ้า การไม่เชื่อฟัง จะนำไปสู่การยับยั้งพระพร การตีสอน ความไม่ปลอดภัยหรือการเจ็บป่วย

[17] โยบ 22:21 “จงปรองดองกับพระเจ้าและอยู่อย่างสันติ แล้วสิ่งดีจะมาถึงท่าน” สังเกตจุดสนใจของคำแนะนำของเอลีฟัส ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่สัตย์จริง แต่เป็นการอยู่อย่างสงบกับพระเจ้า โดยมี “สิ่งดี” เป็นเป้าหมาย

[18] เอเฟซัส 2:1-3; โรม 5:8; เอเฟซัส 2:4-8

[19] ยอห์น 9:2-5 สาวกถามพระเยซูด้วยกรอบคิดแห่งกรรมสนองว่า ความทุกข์ที่เกิดกับชายตาบอดมาจากบาปของใคร พระเยซูปฏิเสธกรอบคิดแคบและตายตัวนี้ว่า “ไม่ใช่คนนี้หรือพ่อแม่ของเขาที่ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา” (9:3)

[20] ตัวอย่างคำตอบของการรักและยำเกรงพระเจ้าแบบ “เปล่าๆ” “แม้ร่ำรวยหรือยากจน สุขภาพดีหรือเจ็บป่วย แม้ทุกข์ยากลำบากหรือประสบความสำเร็จ ฉันก็จะรักและสัตย์ซื่อต่อพระองค์”

[21] เช่น การให้ความสำคัญของความสัมพันธ์กับพระเจ้ามากกว่าผลประโยชน์ฝ่ายวัตถุที่ตนจะได้รับ การเชื่อวางใจในพระลักษณะแห่งใจกว้างขวาง ความดี พระเมตตา และพระคุณของพระองค์โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ยาก แทนที่จะสงสัยในตัวพระองค์ รวมถึงการปล้ำสู้กับพระเจ้าอย่างจริงใจในสถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่เข้าใจ โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เชื่อกับสิ่งที่เผชิญไม่ไปในทิศทางเดียวกัน

[22] ภาษาฮีบรู לֹ֣א דִּבַּרְתֶּ֥ם אֵלַ֛י ”you have not spoken to me (correctly)”

[23] ในบทสนทนาระหว่างโยบกับเพื่อน โยบมักใช้คำสรรพนามบุรุษที่สอง (you พระองค์) ที่เล็งถึงบทสนทนาตรงกับพระเจ้า ในขณะที่เพื่อนๆของโยบไม่เคยอ้างพระเจ้าด้วยบุรุษที่สองเลย มีแต่การพูดเกี่ยวกับพระเจ้าด้วยสรรพนามบุรุษที่สาม (he พระองค์)

Download เดาว์นโหลด PDF

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *